หมวดหมู่: ประวัติศาสตร์

เรื่องราวของ นครวัดกัมพูชา 

         นครวัดกัมพูชา   เชื่อว่าถ้าพูดถึงประเทศกัมพูชาโบราณสถานที่หลายคนนึกถึงเป็นอันดับแรกนั่นก็คือนครวัดนั่นเองเนื่องจากว่านครวัดแห่งนี้นั้นเป็นสถานที่โบราณสถานที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกแม้แต่องค์กร UNESCO ก็ยังมา จัดอันดับความสำคัญของนครวัดแห่งนี้เอาไว้

สำหรับนครรัฐแห่งนี้นั้นมีชื่อเรียกอยู่หลายอย่างด้วยกันสำหรับคนกัมพูชาเองออกเสียงนครวัดแห่งนี้ว่าเมืองเสียมราฐในขณะที่ประชาชนทั่วไปอย่างคนไทยนั้นเรียกว่าเมืองเสียมราฐหรือแม้แต่คนฝรั่งเศสเองก็เรียกนครวัดแห่งนี้ว่าอังกอร์วัด 

         อย่างไรก็ตามนครวัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยมีอายุเก่าแก่มาอย่างยาวนานโดยว่ากันว่าผู้ที่มีการสร้างนครวัดแห่งนี้เอาไว้นั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ในสมัยของอาณาจักรขอมซึ่งผู้ที่สร้างก็คือพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2

 

ซึ่งในขณะนั้นเป็นผู้ปกครองอาณาจักรอยู่นั่นเองโดยมีการระบุจากหลักฐานที่มีการอ้างอิงและเชื่อถือได้ว่านครวัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาในช่วงพุทธศักราช 1656 – 1693 

          สำหรับความต้องการที่จะสร้างนครวัดแห่งนี้นั้นในครั้งแรกต้องการที่จะสร้างเอาไว้สำหรับเป็นที่เก็บพระศพของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 รวมถึงสร้างเป็นวัดเพื่อเป็นการบูชาเทวดาดังนั้นทหารนักเที่ยวคนไหนที่เคยทานเดินทางไปเที่ยวที่นครวัดแห่งนี้จะเห็นได้ว่าลักษณะรูปแบบของการก่อสร้างนครวัดแห่งนี้จะแตกต่างจากวัดอื่นๆทั่วไปเพราะที่นี่จะมีการหันหน้าของตัววัดนั้นไปทางทิศตะวันตกซึ่งอย่างที่เรารู้กันดีว่าทิศตะวันตกนั้นคือที่ของคนตายส่วนที่ตะวันออกนั้นเป็นที่ของคนเป็น 

           จากการสำรวจนครวัดจะเห็นได้ว่าเป็นประสาทซึ่งมีขนาดใหญ่มากและแน่นอนว่าการก่อสร้างนั้นก็ต้องเป็นไปด้วยความยากลำบากโดยมีการระบุว่ากว่าจะสามารถสร้างมาเป็นปราสาทนครวัดนี้ได้นั้นต้องมีการใช้หินในปริมาณที่เยอะมากๆหรืออาจกล่าวได้ว่าปริมาณนั้นหลายล้านลบ.ม. กันเลยทีเดียวนอกจากนี้ยังต้องใช้อุปกรณ์อื่นๆในการก่อสร้างเพิ่มเติมอีกด้วยไม่ว่าจะเป็นหินหรือแม้แต่ทรายซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างยิ่งในการก่อสร้างตัวประสาท

        ยังไงก็ตามมีการระบุว่ากว่าจะสร้างปราสาทแห่งนี้ได้นั้นจะต้องมีการเกณฑ์ผู้คนแรงงานมาก่อสร้างซึ่งแรงงานที่มาใช้ในการก่อสร้างนั้นก็มีนับแสนคนเลยทีเดียวนอกจากคนแล้วก็ยังต้องใช้แรงงานช้างอีกด้วยเพราะหินแต่ละก้อนนั้นมีความหนักเป็นอย่างมากเพราะฉะนั้นถ้าใช้แรงงานคนเพียงอย่างเดียวก็จะไม่สามารถยกหินที่หนักเหล่านี้ได้

         นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าพื้นที่บริเวณโดยรอบของปราสาทนครวัดนั้นมีความกว้างใหญ่ไพศาลนอกจากนี้ยังมีการสร้างแบบตามหลักฮวงจุ้ยจะเห็นได้ว่าโดยรอบของตัวประสาทนั้นมีการสร้างคูน้ำล้อมรอบเอาไว้นอกจากนี้ตัวประสาทยังเต็มไปด้วยหินสลักต่างๆมากมายซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นรูปผู้หญิงเหมือนภาพในนางวรรณคดีนอกจากนี้ยังมีรูปเทวดาและอสูรอยู่อีกด้วยซึ่งถ้าหากนับดูดีๆแล้วนางอัปสรที่มีการนำมาประดับตกแต่งปราสาทหินนั้นจะมีการแต่งตัวและทรงผมที่ไม่ซ้ำแบบกันเลยทีเดียว 

                   

สนับสนุนโดย.    แทงหวยออนไลน์ Huaydee

ประวัติความเป็นมาของวัดท่าไม้  จังหวัด สมุทรสาคร 

          เชื่อว่าสำหรับคนที่ชื่นชอบการทำบุญไหว้พระจะต้องรู้จักวัดท่าไม้กันเป็นอย่างดีแต่บางคนอาจจะไม่รู้ประวัติความเป็นมาของวัดท่าไม้ว่ากว่าจะมาเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมเป็นสถานที่ให้ชาวบ้านได้ทำบุญกราบไหว้เป็นพื้นที่พักพิงทางใจของชาวบ้านมาจนถึงทุกวันนี้วัดท่าไม้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร  ความเป็นมาของวัดท่าไม้ ดังนั้นวันนี้เราจะมาแนะนำประวัติความเป็นมาของวัดท่าไม้ให้ทราบกัน

        ตามข้อมูลประวัติของทางวัดนั้นแต่เดิมวัดท่าไม้นี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเป็นวัดมาก่อนแต่เดิมที่นี่นั้นเป็นเพียงแค่สำนักสงฆ์เท่านั้นและผู้ที่สร้างสำนักสงฆ์แห่งนี้ขึ้นมานั้นก็คือพระสงฆ์รูปหนึ่งที่ชื่อว่ายอดชายด้วยเพื่อส่งรูปนี้นั้นเดินทางมาจากจังหวัดกาญจนบุรีซึ่งเดิมทีนั้นพระสงฆ์ยอดชายจำพรรษาอยู่ที่วัดหนองพันเท้าหลังจากนั้นก็ได้มีการเดินธุดงค์มาเรื่อยเรื่อยเพื่อมาปฏิบัติธรรมแล้วก็ไม่เจอพื้นที่ในจังหวัดสมุทรสาครแห่งนี้

           หลังจากนั้นพระสงฆ์ยอดชายก็มีความรู้สึกว่าประชาชนที่จังหวัดสมุทรสาครนี้

ไม่มีสถานที่ที่จะนั่งปฏิบัติธรรมซึ่งหลังจากที่พระสงฆ์ยอดชายได้มีการคุยกับชาวบ้านแล้วก็รู้สึกว่าชาวบ้านนั้นมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาหลังจากนั้นก็ส่งยอดชายจึงมีแนวความคิดอยากจะสร้างสถานปฏิบัติธรรมขึ้นมาในจังหวัดสมุทรสาครโดยชาวบ้านที่เคยมากราบไหว้และใส่บาตรกับพระสงฆ์ยอดชายนั้นก็มีการสนับสนุนอยากจะให้พระสงฆ์ยอดชายนั้นสร้างวัดขึ้นมาเพื่อที่ชาวบ้านจะได้มาทำบุญได้

         ความเป็นมาของวัดท่าไม้ ดังนั้นด้วยแรงศรัทธาของชาวบ้านและพระภิกษุสงฆ์ยอดชายจึงได้มีการร่วมกันก่อสร้างสำนักสงฆ์ขึ้นมาโดยตั้งชื่อสำนักสงฆ์ครั้งแรกว่าโพธิ์ธรรมรังสีซึ่งการก่อสร้างครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2520 หลังจากที่ก่อตั้งเป็นสำนักสงฆ์แล้วก็มีชาวบ้านให้ความสนใจเป็นอย่างมากวันหยุดก็จะมานั่งปฏิบัติธรรมที่สำนักสงฆ์แห่งนี้นอกจากนี้ด้วยความศรัทธาของชาวบ้านก็มีการบริจาคที่ดินและมีการซื้อที่ดินบริจาคเพื่อให้สำนักสงฆ์มีการขยายพื้นที่

    โดยมีคนบริจาคที่ดินให้สำนักสงฆ์แห่งนี้ถึง 2 ไร่ในขณะที่มีการซื้อที่ดินเพิ่มให้อีก 4 ไร่

ทำให้สำนักสงฆ์แห่งนี้มีพื้นที่กว้างขวางสามารถสร้างทั้งศาลาท่าน้ำและยังมีศาลาเอนกประสงค์รวมถึงมีกุฏิเจ้าอาวาสมีบ่อน้ำบาดาล  หลังจากที่มีการเปิดเป็นสำนักสงฆ์ได้ประมาณ 7 ปีก็มีการขออนุญาตเปลี่ยนจากสำนักสงฆ์มาเป็นวัดท่าไม้แทนซึ่งได้มีการบูรณะซ่อมแซมสำนักสงฆ์ขึ้นมาใหม่ก่อสร้างอาคารต่างๆกุฏิต่างๆมากมายและถูกบรรจุให้เป็นวัดเมื่อประมาณวันที่ 28 เดือนกุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. 2532 นั่นเอง 

 

สนับสนุนโดย.  hiallbet

ตำนานอาถรรพ์ของวิหารกระดูก ที่เมือง อีโวรา  ประเทศโปรตุเกส 

                สำหรับตำนาน อาถรรพ์ของวิหารกระดูก เรื่องราวความน่ากลัวและอาถรรพ์ของวิหารที่เรากำลังจะพูดถึงอยู่ในขณะนี้เป็นวิหารเก่าแก่ซึ่งถูกสร้างมาแล้วหลายร้อยปีโดยวิหารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นที่ประเทศโปรตุเกส  ในปัจจุบันวิหารแห่งนี้มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากและยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปประเทศโปรตุเกสต่างก็ต้องพากันแวะเวียนเข้าไปเพื่อชมความแปลกประหลาดพิสดารของวิหารแห่งนี้ด้วยกันทุกคน

        สำหรับวิหารที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้อยู่ที่เมืองอีโวรา  วิหาร  อาถรรพ์ของวิหารกระดูก  แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นว่ากันว่าสร้างตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 15   และที่สร้างความแปลกประหลาดและความน่ากลัวรวมถึงมีเรื่องราวอาถรรพ์เกิดขึ้นกับวิหารแห่งนี้นั่นก็เพราะว่าวิหารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากกระดูกของคน  โดยตำนานบอกว่ามีคนมากกว่า 5 พันคนด้วยการที่เสียชีวิตแล้วถูกนำกระดูกมาสร้างเป็นวิหารแห่งนี้ขึ้นมาดังนั้นวิหารแห่งนี้จึงมีชื่อเรียกว่าวิหารกระดูกนั่นเอง

      นอกจากวิหารกระดูกจะมีกระดูกคนตายมากกว่า 5000 คนถูกนำมาสร้างเป็นวิหารแห่งนี้แล้วว่ากันว่าภายในวิหารนั้นยังมีการนำศพของมนุษย์จำนวน 2 คนนำมาแขวนไว้ตรงที่ผนังของวิหารอีกด้านหนึ่งด้วย  ซึ่งตามตำนานได้พูดถึงจบทั้ง 2 ศพที่ถูกนำมาแขวนไว้ในวิหารถึงที่มาที่ไปของศพทั้ง 2 ศพนั้นได้ว่าในสมัยก่อนนั้น  ได้มีครอบครัวหนึ่งซึ่งประกอบไปด้วยพ่อแม่และลูก 

         ครอบครัวนี้ผู้เป็นพ่อนั้นจะมีนิสัยดุร้ายโหดเห*้ยมชอบทำร้ายภรรยาของตนเองและเมื่อลูกชายของพวกเขาเติบโตขึ้นมาก็ได้นิสัยของผู้เป็นพ่อไปดังนั้นหญิงสาวคนเดียวซึ่งเป็นคนในครอบครัวจึงได้ถูกทั้งสามีและลูกชายทำร้ายอยู่เป็นประจำทุกวันโดยหญิงสาวคนดังกล่าวนั้นเธอเป็นคนที่นับถือศาสนาคริสต์  อย่างไรก็ตามก่อนที่เธอจะเสียชีวิตเพราะถูกทำร้ายจนตายนั้นได้มีการสาปแช่งสามีและลูกของเธอเอาไว้ด้วยคำสาปแช่งของเธอนั้นระบุเอาไว้ว่าเมื่อถึงเวลาที่สามีและลูกของเธอเสียชีวิตขอให้ไม่มีแผ่นดินฝังกลบหน้าได้  

        หลังจากที่หญิงสาวเสียชีวิตได้ไม่นาน ชายทั้งสองคนก็ถึงแก่ความตาย ดังนั้นชาวบ้านจึงช่วยกันนำศพของชายทั้งสองคนไปขุดหลุมฝังศพในสุสานแห่งหนึ่งแต่เกิดเรื่องน่าประหลาดเกิดขึ้นเพราะไม่ว่าชาวบ้านสระขุดหลุมตรงบริเวณไหนก็ตามแต่เมื่อขุดลงไปก็จะเจอกับก้อนหินขนาดใหญ่ทำให้ไม่สามารถขุดเป็นหลุมพอที่จะเอาศพลงไปฝังได้  

       เมื่อชาวบ้านไม่สามารถที่จะฝังศพของชายทั้งสองคนได้ซึ่งได้มีการนำร่างของชายทั้งสองคน  ไปที่วิหารกระดูกหลังจากนั้นก็นำซากศพของชายทั้งสองคนนั้นแขวนไว้ตรงบริเวณผนังของวิหาร  ซึ่งวิหารแห่งนี้เป็นวิหารที่ถูกสร้างขึ้นโดยพระนิกายฟรานซิสกัน  โดยนักบวชภายในวิหารนั้นได้ใช้ซากศพของชายทั้งสองคนในการฝึกสมาธิของนักบวช เพื่อให้นักบวชทุกคนที่ได้เห็นซากศพนั้นเกิดการปลงนั่นเอง

 

สนับสนุนโดย.  u12

ประวัติศาสตร์โลก1,000ปี

เมื่อถึงในช่วง3,000ปีก่อนคริสต์ศักราชได้เกิดจักรวรรดิแรกในโลกขึ้นนั่นก็คือจักรวรรดิอัคคาเดียนของพระเจ้าซาร์กอนนั้นเอง

ซึ่งจักรวรรดินี้ก็เกิดอยู่ในอารยธรรมเมโสโปเตเมียและการเกิดจากจักรวรรดิทำให้conceptของการทหารสำคัญขึ้นมนุษย์เริ่มใช้กำลังกันแล้วก็เริ่มให้ความสำคัญกับอาวุธกับเขตแดนอะไรต่างๆหลังจากเกิดจักรวรรดิอัคคาเดียนขึ้นก็มีจักรวรรดิต่างๆผุดขึ้นตามมาเต็มไปหมดในโลกส่วนฝั่งจีนตอนนี้เริ่มเข้าสู่สมันราชวงศ์เซี่ย

ซึ่งได้เป็นราชวงศ์โบราณและตามมาด้วยราชวงศ์ชางในลำดับบต่อไป

2,500ปีก่อนคริสต์ศักราชไม่น่าเชื่อเลยว่าช่วงเวลานี้แมมมอธเพิ่งจะสูญพันธุ์2,000ปีก่อนคริสต์ศักราชชาวอารยันครองอินเดียได้ขับไล่ชาวพื้นเมืองดราวิเดียนลงใต้เกิดศาสนาพราหมณ์ฮินดูขึ้น

1,300ปีก่อนคริสต์ศักราชโมเสสได้พาชาวยิวหนีออกจากอียิปต์จากทะเลแหวกก็ตอนนี้นี่แหละ1,100ปีก่อนคริสต์ศักราชได้เกิดการใช้เหล็กแพร่กระจายไปทั่วโลกส่วนฝั่งจีนราชวงศ์ชางลงจากอำนาจและมีอีกราชวงศ์นึงขึ้นมามีอำนาจแทนนั่นก็คือราชวงศ์โจวนั่นเองอีก100ปีถัดไป1,000ปีก่อนคริสต์ศักราชได้เกิดกษัตริย์พระองค์สำคัญขึ้นในหมู่บ้านชาวยิวนั่นก็คือกษัตริย์ เดวิด แล้วก็กษัตริย์โซโลมอนและเวลาห่างกันไม่เท่าไหร่เลยแค่ประมาณ200กว่าปีเท่านั้น776ปีก่อนคริสต์ศักราช

ซึ่งได้มีการบันทึกว่าเกิดโอลิมปิกครั้งแรกที่กรุงเอเธนส์ซึ่งโอลิมปิกอันนั้นก็จะถือว่าเป็นโอลิมปิกสมัยโบราณ40ปีถัดมา735ปีก่อนคริสต์ศักราชได้เกิดการก่อตั้งกรุงโรขึ้นผ่านไปอีกไม่ถึง100ปี660ปีก่อนคริสต์ศักราชกษัตร์จิมมุ เขาได้เป็นกษัตริย์พระองค์แรกของญี่ปุ่นตามความเชื่อก็ขึ้นปกครองประเทศญี่ปุ่น

นอกจากนี้ต่อมา550ปีก่อนคริสต์ศักราชช่วงนี้ได้เกิดจักรวรรดิเปอร์เซีย จักรวรรดิสำคัญของโลกในช่วง500ปีก่อนคริสต์ศักราชเป็นช่วงเวลาที่อารยธรรมใหญ่ๆของโลกกำลังเฟื่อฟูสุดขีดช่วงเวลานี้เองต้องบอกเลยว่าเป็นช่วงเวลาที่เป็นมีเหตุการณ์สำคัญในโลกเกิดขึ้นเยอะมากเพราะถ้าเอาง่ายๆเลยในประเทศอินเดีย500ปีก่อนคริสต์ศักราชก็คือช่วงเวลาของพระพุทธเจ้าในอินเดียนั่นเอง

ดังนั้นนี่ก้คือช่วงเวลาที่การเกิดศาสนาพุทธในอินเดียพร้อมๆกับที่อาณาจักรมคธในอินเดียยิ่งใหญ่ภายใต้การปกครองของพระเจ้าพิมพิสารและยังได้เกิดสิ่งสำคัญอีกสิ่งนึงในอินเดียนั่นก็คือการใช้เลขศูนย์เป็นครั้งแรกของโลกฝั่งเมโสโปเตเมียนั้นหลายคนก็นึกว่าอารยธรรมแถวนั้นล่มสลายไปแล้วแต่จริงๆแล้วมันยังอยู่พร้อมกันนี้ในจักรวรรดิโรมันก็เริ่มมีการเปลี่ยนการปกครองจากระบอบกษัตริย์

เพื่อมาเป็นระบอบสาธารณรัฐเป็นครั้งแรกฝั่งกรีกก็ไม่น้อยหน้าเกิดสงครามกับเปอร์เซียที่ได้เรียกว่าGreco-Persian Wars

 

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย.    ชุดตรวจ hiv

ราชวงศ์หยวนล่มสลายด้วยเหตุใด

นอกจากนี้หลังจากที่ กุบไลข่าน สามารถที่จะโค่นล้มอำนาจของผู้ที่ปกครองดินแดนอาจักรจีนในขณะนั้นรวมถึงราราชวงศ์ซ่งลงได้ชาวจีนชาวฮั่นก็ตกลงในอำนาจของพวกมองโกจนกระทั่ง กุบไลข่าน ก็ได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิ กุบไลข่าน  หรือว่าจักรพรรดิหยวนซื่อจู่ฮูปี้เลี่ย

ซึ่งได้ทรงสถาปนาราชวงศ์ต้าหยวนขึ้นมาโดยราชวงศ์ต้าหยวนก็ได้สืบต่อจากราชวงศ์จินแล้วก็ทำการสถาปนาเมืองหลวงขึ้นมาใหม่และเมืองหลวงแห่งนี้ได้อยู่ที่เมืองต้าตูหรือที่ในเมืองปัจจุบันนี้ก็คือเมืองปักกิ่งนั้นเอง

เมื่อจักรพรรดิกุบไลข่านหรือว่าจักรพรรดิหยวนซื่อจูได้ทรงขึ้นครองราชย์ขึ้นแล้วพระองค์เองก็ได้มีความตระหนักแล้วว่าจะใช้ไม้แข็งอย่างเดียวกับชาวจีนชาวฮั่นก็จะไม่ได้เพราะว่าได้มีการต่อต้านอยู่เป็นเนืองๆและเรียกได้ว่าเสถียรภาพในการปกครองชาวจีนของพระองค์

ซึ่งเป็นชนเผ่าที่ไม่ใช่ชาวจีนแต่ว่ามาปกครองชาวจีนและก็มีการต่อต้านอย่างมากมายมหาศาลกันเลยทีเดียวดังนั้นพระองค์ได้ทรงดำเนินนโยบายในลักษณะที่เป็นมิตรกับประชาชนรวมไปถึงพระองค์ก็ทรงมีความตั้งใจที่จะเป็นจักรพรรดิที่ดีเป็นผู้ปกครองดินแดนที่ดี

โดยพระองค์ได้ปกครองดินแดนของชาวจีนได้อย่างสุขุมและด้วยความรอบคอบยิ่งนักเหตุผลก็คือพระองค์ไม่อย่างจะให้ชาวจีนนั้นมองชาวมองโกในความโหดร้ายแล้วก็เพื่อเป็นการรักษาเสถียรภาพเพราะว่าจริงๆแล้วเราขออธิบายให้คุณได้อ่านสักนิดหนึ่งก่อนในขณะนั้นชาวจีนก็มองมองโกว่าเป็นชนเผ่าที่มีความโหดเฮี้ยมเอามากๆเลย

ซึ่งถ้าจะให้เราพูดกันตามตรงแล้วชาวมองโกนี่แหละไปที่ไหนก็ทำการปราบอย่างไม่เหลือก็เรียกได้ว่าความโหดร้ายของชาวมองโกนั้นสูงมากเลยที่เดียวในความทรงจำของชาวจีนในขณะนั้น

ดังนั้นจักรพรรดิหยวนซื่อจู่หรือว่าจักรพรรดิกุบไลข่านก็มีความพยายามในการที่จะเปลี่ยนภาพจำของชาวจีนให้มองชาวมองโกลดน้อยลงทำให้รู้สึกว่าเป็นมิตรมากยิ่งขึ้นกับชาวจีนที่อยู่ภายใต้การปกครอง

นอกจากนี้มันก็เป็นที่น่าสนใจดีเพราะว่าในรัชสมัยของจักรพรรดิกุบไลข่านหรือว่าจักรพรรดิหยวนซื่อจู่ความเจริญรุ่นเรืองของอาณาจักรจีนในขณะนั้นเรียกได้ว่าสูงมากเลยทีเดียวบ้านเมืองมีเสถียรภาพมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้นแล้วก็มีการเดินทางของมาโคโปโล

เรียกได้ว่ามีเรื่องราวที่น่าสนใจเกิดขึ้นในราชวงศ์หยวนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยของจักรพรรดิกุบไลข่านอย่างไรก็ตามเมื่อจักรพรรดิกุบไลข่านได้เสด็จสวรรคตไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วราชวงศ์หยวนเองก็ค่อยๆเสื่อมถอยลงตามลำดับเลยทีเดียว

 

สนับสนุนโดย  letou ฟรีเครดิต

ประวัติศาสตร์รูปภาพทังก้า

สำหรับทังก้าในภาษาไทยเรียกว่าภาพพระปลดมันเป็นศิลปะอย่างหนึ่งในศาสนาพุทธชั้นสูงที่พุทธศาสนิกชนสายวัชรยานคือกลุ่มคนที่อยู่ทางแทบหลังคาโลกเช่นทิเบตเนปาลภูฏานอะไรแทบนั้นแหละเขาได้นับถือกันมันจะเป็นลักษณะภาพวาดหรือว่าภาพปักหรือที่เขาได้ทำบนฝ้ายหรือผ้าไหม

ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเขาจะเขียนเป็นภาพของพระพุทธเจ้าพระโพธิสัตว์แล้วก็เรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธประวัตที่หลากหลายไม่ก็จะเป็นภาพจักรวาลตามความเชื่อของพระพุทธศาสนาในนิกายนั้นเอาง่ายๆเลยเขานั้นได้ทำขึ้นเพื่อเทิดทูนพระพุทธเจ้านี่แหละถ้าจะเปรียบกับบ้านเราก็น่าจะเปรียบได้เหมือนกับพระพุทธรูปหรือว่าจิตกรรมฝาผนังนั่นเอง

นอกจากนี้ทังก้านั้นมันจะเป็นสิ่งที่ทำมาจากผ้าดูผืนแบนๆแต่ว่ามันก็มีวิธีการทำที่ซับซ้อนไม่แพ้พระพุทธรูปเลยทีเดียวยิ่งเป็นภาพทังก้าในแบบฉบับโบราณแล้วมันยากขนาดไหน

โดยวิธีการทำทังก้าในแบบฉบับโบราณดั่งเดิมจะมีความเว่อวังอลังการมากตั้งแต่วัตถุอุปกรณ์ที่ใช้ผลิตสีที่พวกเขานั้นใช้มันจะเป็นสีที่มาจากธรรมชาติที่ได้สกัดมาจากแร่ธาตุต่างๆที่จะต้องไปงมหาแถวเทือกเขาเสร็จแล้วยังไม่พอจะต้องไปหายางไม้ชนิดดีเพื่อเอามาบดผสมกับสีชนิดนี้

ส่วนสีทองที่เราเห็นอยู่บนผ้าผืนนี้มันคือทองคำทองและน้ำที่ได้เอามาผสมสีมันไม่ใช่น้ำธรรมดาปะปาจะต้องเป็นน้ำแร่จากธรรมชาตเท่านั้นและอุปกรณ์ที่เขาจะใช้ในการเขียนได้ทำมาจากเขาจามรีที่เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่ได้อศัยอยู่ในเทือกเขาแทบนั้นแต่ในปัจจุบันนี้เขาใช้พู่กันเขียนกันแล้ว

ซึ่งภาพเขียนที่ได้นั้นจะมีความปราณีตมากสีที่นำเอามาเขียนมันก็จะมีความชัดเจนคมชัดว่ากันว่ามันจะสดใสยาวนานนับร้อยปีเลยทีเดียวจากขั้นตอนการรวบรวมไปจนถึงการผลิตเราคงจะนึกออกแล้วว่ามันจะกินเวลานานขนาดไหน

ดังนั้นทังก้าจึงได้เป็นมากกว่าภาพที่ธรรมดาเท่านั้นเวลาวาดภาพทังก้าชาวพุทธในแทบนั้นก็จะมีความเชื่อเหมือนกับบ้านเราเลยที่เชื่อในการสร้างพระพุทธรูปคือผู้ที่ร่วมสร้างก็จะได้รับบุญกุศลเช่นกันแต่มันก็น่าเสียดายที่ทังก้าโบราณต่างๆเรามีขอมูลประวัติความเป็นมาน้อยมาก

เนื่องด้วยตามธรรมเนียมการปฏิบัติของศาสนาพุทธในเทือกแถวนั้นในเวลาที่เขานั้นสร้างอะไรไว้อย่างเรียบร้อยแล้วเขาจะไม่จารึกเอาไว้ว่าใครเป็นคนสร้างใครเป็นคนบริจากให้แต่มันจะมีข้อเสียมันไม่ดีต่อทางโบราณคดีก็คือมันยากกว่าที่จะไปทำการหาสืบค้นหาประวัติต่างๆได้ยาก

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  bk8

ประวัติพระแก้วมรกต

นอกจากนี้ได้มีกษัตริย์พม่าผู้หนึ่งที่ได้นับถือสาสนาเป็นอย่างมากท่านก็ได้ส่งคนเข้ามาคัดลอกพระไตรปิฎกอะไรทางนี้และในระหว่างที่กำลังคัดลอกก็มองไปเห็นพระแก้วมรกตนั้นสวยมากก็เลยอยากจะเอากลับไปประเทศตนเองบ้างก็เลยไปอัญเชิญพระแก้วมรกตมาเอาไปด้วย

ซึ่งเขาก็ไม่ได้บอกว่าไปตกลงกันยังไงแต่เอาเป็นว่าเขาก็ได้เลือกกลับมาทั้งพระไตรปิฎกที่ได้ไปคัดลอกมาที่เต็มเป็นกองเลยบวกกับองค์พระก็ได้บรรจุเข้าในเรือสามลำแล้วก็แล่นไปในเรือ

แต่ทว่าในระหว่างการเดินทางขนส่งก็เกิดฟ้าฝนเป็นอะไรก็ไม่รู้ได้พัดเรือต่างๆไปทำให้เรือสองลำได้ไปตกอยู่ที่ทางพม่าแต่เรืออีกลำหนึ่งได้ไปตกอยู่ที่เมืองไชยาที่สุราษฎร์ธานีบ้านเราก่อนที่จะไปยังกัมพูชาอีกรอบแต่มีบางตำนานได้กล่าวว่ามีพัดไปตกที่กัมพูชาก็มีและก็ไม่รู้ว่าพัดไปตกไกลขนาดนั้นได้อย่างไง

เมื่อได้พัดมาถึงที่กัมพูชากษัตริย์กัมพูชาได้เห็นว่านี่มันเป็นเรือบรรทุกของพม่านี่มีพระไตรปิฎกเต็มไปหมดเลยเขาคงอยากได้มากก็เอาไปคืนเขาเลยเหมือนจะดูเป็นคนดีส่งของคืนพม่าแต่ทว่าองค์พระที่ติดมาด้วยไม่ขอคืนเอาไว้เป็นพระประจำบ้านเมืองนี่แหละ

ซึ่งเรื่องราวต่อไปนี้ก็จะเป็นว่ามีสงครามได้เกิดขึ้นในหลายๆที่เลยหลังจากนั้นพระแก้วก็ได้ถูกอัญเชิญไปที่ต่างๆเพื่อหลบสงครามตั้งแต่ที่กัมพูชาไปยังลพบุรีได้ยันอยุธยากำแพงเพชรจนกระทั่งมาจบที่เชียงรายและสงครามมันก็ได้มาเกิดขึ้นที่เชียงรายแต่ทีนี้ผู้คนก็ไม่อยากที่จะย้ายพระแก้วไปก็เลยได้ใช้วิธีในการหลบซ้อนปลอมตัวให้กับพระแก้วแทนแล้วกันโดยการนำเอาปูนโบกทับอีกทีเสร็จแล้วก็กลายมาเป็นพระปูนก่อนที่เขาจะเอาพระแก้วที่เป็นร่างปูนเข้าไปซ้อนไว้ด้านในเจดีย์อีกที

นอกจากนี้เรื่องราวมันก็ได้ผ่านไปสงครามมันก็จบลงบ้านเมืองก็สงบสุขแต่ผู้คนก็ลืมไปแล้วว่าองค์พระแก้วได้ซ้อนเอาไว้ด้านในเจดีย์

กระทั่งมาถึงวันหนึ่งที่พระแก้วได้ทำบูรณะใหม่อีกรอบและช่วงนี้เป็นช่วงที่นักประวัติศาสตร์เขาได้ยอมรับถึงการมีตัวตนของพระแก้วอยู่คือช่วงแรกที่เล่ามามันเป็นตำนานทั้งนั้นเลยไม่มีหลักฐานอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน

ดังนั้นในการบูรณะใหม่ขององค์พระแก้วในครั้งนี้อยู่เจดีย์ที่ได้ซ้อนพระแก้วมรกตเอาไว้ก็ได้ถูกฟ้าผ่าลงมากลางเจดีย์กระจายปรากฏให้เห็นองค์พระที่อยู่ด้านใน

 

สนับสนุนโดย  สูตรหวยยี่กี lottovip 2ตัว

ยุคเรอเนซองส์ถูกคิดขึ้นมาโดยนักประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส

ซึ่งเรื่องราวของเรอเนซองส์โดยไม่พูดถึงยุคกลางก็คงไม่ได้เช่นเดียวกันกับที่เราจะไม่ไม่มีวันเข้าใจความหมายกว้างๆของเรอเนซองส์ 

โดยที่ไม่ได้พูดถึงยุคคลาสสิคที่ฝรั่งเรียกว่าClassical Antiquityหรือยุคกรีกโรมันนั่นเองเอาแบบให้ได้เห็นภาพเร็วกันก่อนคือ “กรีกโรมัน ยุคกลาง  เรอเนซองส์ “ คำว่าเรอเนซองส์ เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่าการเกิดใหม่ ยุคเรอเนซองส์ก็เหมือนยุคแห่งการเกิดใหม่นั่นเองคนที่เราได้เรียกว่ายุคเรอเนซองส์นั้นเค้าไม่รู้ว่าเขาอยู่ในยุคเรอเนซองส์

เพราะว่าการตั้งชื่อยุค หรือ การสร้าง timelineของประวัติศาสตร์นี่ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ตีความและให้ชื่อกันในภายหลังทั้งนั้น

คำว่ายุคเรอเนซองส์นี่ก็เช่นกันเป็นคำที่ถูกคิดขึ้นมาโดยนักประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสเมื่อปี1858หรือราวๆ400กว่าปีให้หลังในภาษาไทยเราแปลคำว่ายุคเรเนซองส์ว่ายุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการหรือว่าถ้าแปลตรงๆจากฝรั่งก็คือยุคเกิดใหม่ทางศิลปะวิทยาการเกิดใหม่จากอะไรก็คือเกิดจากยุคกลางที่เขาได้ถือกันว่าเป็นยุคถดถอยทางความรู้ เป็นยุคมือ เป็นยุคล้าหลัง อะไรทำนองนี้  

การเกิดใหม่นั้นคือการกลับไปตามหาความรุ่งเรืองทางสติปัญญาและองค์ความรู้ที่มนุษย์เคยมีในยุคกรีกโรมันนั่นถ้าให้เห็นภาพคือ ยุคกรีกโคมัมน รุ่งเรืองมากเสร็จแล้วก็ได้เข้าสู่ยุคกลางหรือยุคมืดจากนั้นผ่านยุคมืดไปจนได้จากนั้นก็ได้เข้าสู่ในยุคของเรอเนซองส์อันอลังการงานสร้างนี่แหละ

ซึ่งจริงๆแล้วในการแบ่งก็ไม่ค่อยจะแฟร์กับยุคกลางซักเท่าไหร่เพราะว่ายุคกลางที่เค้าเรียกกว่า The Middle Ages คือกินเวลาเป็นพันปีคือปีสี่ร้อยปลายๆจนถึงพันสี่ร้อยในเวลาพันปีนี่จะบอกว่าห่วยตลอดทั้งพันปีก็เป็นไปได้ยากใช่ไหมและทั้งหมดนี่จะต้องย้ำว่าคือประวัติศาสตร์ยุโรปเราต้องไม่ลืมว่ายุโรปก็เป็นเพียงส่วนเดียวของโลกนี้

ส่วนอื่นๆของโลกก็ไม่ได้อยู่ในยุคกลางหรือว่ายุคมืดเขาก็ได้มีประวัติศาสตร์กันไปดลกของอิสลามในช่วงยุคกลางในยุโรปนั้นได้มีความเจริญรุ่งเรืองมากความรู้ด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์ล้ำหน้ากว่ายุโรปไปหลายขุมมากเลยในทางอายธรรมความเป็นอยู่ในโลกของอิสลามต้องเรียกว่าแอดวานซ์มากมากกว่ายุโรปกับฟ้าเหว

ซึ่งในขณะที่เมืองในยุโรปยังใช้แม่น้ำเป็นส้วมกันอยู่หลายเมืองงในโลกอิสลามมีน้ำประปาและก็ไฟถนนมีแม้กระทั่งบิวตี้ซาลอนและก็มีน้ำยาดับกลิ่นปากกลิ่นเต่าอะไรแบบนี้เรียกได้ว่าความเป็นอยู่ในยุโรปเขาอยู่กันไปได้อย่างไง

ประวัติจอมพล ป. พิบูลสงคราม

เผยชีวิตจอมพล ป. พิบูลสงคราม ตั้งแต่เกิด จอมพลเรือ จอมพลอากาศ แปลก พิบูลสงครามผู้ที่ได้มีชีวิตอยู่ในระหว่างวันที่14กรกฎาคม พ.ศ.2440 ถึง วันที่11มิถุนายน พ.ศ.2507 หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีไทยที่ดำรงแหน่งนานที่สุดคือ 15ปี24วัน รวม8สมัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีนโยบายที่สำคัญคือการมุ่งพัฒนาประเทศไทยให้มีความเจริญรุ่งเรืองเท่าเทียมกับนานาอรัญประเทศได้มีการปลุกระดมให้คนไทยรู้สึกรักชาติได้ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลายอย่าง

ซึ่งในบางอย่างได้ประกาศให้เป็นกฎหมายในภายหลังหลายอย่างกลายเป็นวัฒนธรรมของชาติเช่นการรำวงก๋วยเตี๋ยวผัดไทเป็นผู้เปลี่ยนชื่อประเทศสยามเป็นประเทศไทยและได้เป็นผู้เปลี่ยนเพลงชาติไทยมาเป็นเพลงที่เรานั้นได้ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

นอกจากนี้ยังได้มีคำขวัญที่เรานั้นได้รู้จักกันเป็นอย่างดีของนายกรัฐมนตรีผู้นี้คือเชื่อผู้นำชาติพ้นภัยหรือท่านผู้นำไปไหนฉันไปด้วยและไทยอยู่คู่ฟ้าในสายตานักวิชาการประวัติศาสตร์การเมืองไทยส่วนหนึ่งได้เห็นว่า

จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นเผด็จการทางทหารที่ได้มีบทบาททางการเมืองสูงและให้ความสนใจกับความคิดที่ส่องไปในเชื้อชาตินิยม

ซึ่ง จอมพล  ป. พิบูลสงคราม ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่21มิถุนายน พ.ศ.2507 ในเวลาประมาณ20.30นาทีที่บ้านพักส่วนตัวชาญกรุงโตเกียวอายุได้เพียง67ปี 

ในวัยเด็ก จอมพล  ป. พิบูลสงคราม แปลกขีตสังคะ สำหรับชื่อจริงคำว่า แปลกนั้นเป็นเพราะว่าช่วงที่ได้เกิดมาครั้งแรกนั้นบิดาได้มองเห็นว่าหูของเขานั้นได้อยู่ต่ำไปกว่าตาของเขาทั้งสองข้างมันผิดไปจากบุคคลธรรมดาจากนั้นบิดาเขาก็เลยได้ตั้งชื่อให้ว่าแปลก แปลกขีตสังคะ ได้เกิดวันที่14กรกกฎาคม พ.ศ.2440 บิดาของเขานั้นชื่อนายขีดและมารดาของเขาชื่อนางสำอางในนามสกุลขีตสังคะ บ้านเกิดของเขาได้เป็นบ้านหลังใหญ่ขนาดสองชั้นที่ปากคลองบางเขนเก่าอยู่ตรงข้ามกับวัดปากน้ำไม่ห่างไปจากศาลากลางจังหวัดนนทบุรีและวัดเขมาภิรตารามอำเภอเมืองจังหวัดนนทบุรี

สำหรับอาชีพภายในครองครัวนั้นได้ทำอาชีพเกษตรกรรมปลูกสวนทุเรียนและผลไม้โดยเด็กชายแปลกขีดตะสังคะเขาได้เป็นบุตรคนที่สองทั้งหมดในพี่น้องทั้ง5คนและพี่ชายคนโตของเขานั้นมีชื่อว่านายประเกิคได้รับราชการทางทหารได้ยศพลตรีคนที่สามได้ชื่อเตีนคนที่สี่เป็นชายมีชื่อว่าปรุงและคนสุดท้ายแล้วชื่อนายคันชิตเข้ารับราชการทางทหารได้ยศพลตรี

นอกจากนี้ดานการศึกษาและการเข้าสู่อาชีพของทหารเด็กชายแปลกนั้นได้เข้าระบบการศึกษาครั้งแรกที่วัดวัดเขมาภิรตารามจังหวัดนนทบุรี เมื่อพ.ศ.2452

เหตุการณ์กบฏ ร.ศ.130

เมื่อวิถีที่เคยดำรงอยู่นับพันปีก็เริ่มสั่นคลอนความหวาดกลัวการเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้นในหมู่ชนชั้นสูงของสยามโดยทั่วไปความขัดแย้งเหล่านี้เขมรเกลียวขึ้นทุกขณะก่อนถึงเช้าวันที่24มิถุนายน 2475 วันที่ดุลอำนาจในสังคมสยามพลิกผันอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน 

บริเวณหน้าวัดพนมยงค์แห่งนี้เมื่อราว100ปีก่อนเคยเป็นที่จอดเรือนแพของ นายเสียง พนมยงค์ บุตรคหบดีผู้รักชีวิตอิสระและการเผชิญโชคพร้อมทั้งนางลูกจันทร์ภรรยาทั้งสองได้ให้กำเนิดบุตรธิดารวม6คนหนึ่งในนั้นก็คือเด็กชาย ปรีดี 

ซึ่งเริ่มมาสนใจความเป็นมาของบ้านเมืองตั้งแต่กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมครูในโรงเรียนที่สอนอยู่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์ท่านมักจะเล่าให้ท่านผู้ฟังเกี่ยวกับเรื่องของการเปลี่ยนแปลงในประเทศจีนสมัยก่อนกรุงศรีอยุธยาจะเป็นชุมชนที่มีลักษณะพิเศษก็ได้เพราะว่าแม้กระทั่งงิ้วที่วัดพนัญเชิงก็ยังได้เอาเรื่องของกบฏเอามาเล่นกันครูมักจะเล่าเรื่องนี้โยมกับเหตุการณ์ของโลกว่าบ้านเมืองทั่วโลกเวลานี้จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบที่เคยมีผู้ปกครองเพียงคนเดียวเป็นระบอบประชาธิปไตย

เหตุการณ์กบฏ ร.ศ.130ได้เกิดขึ้นเมื่อ นายปรีดี มีอยู่เพียง12ปีแม้ความพยายามเปลี่ยนแปลงสยามสู่ประชาธิปไตยในครั้งนั้นจะต้องแลกด้วยชีวิตและอิสรภาพของกลุ่มแกนนำแต่สิ่งที่ได้เกิดขึ้นทดแทนคือนออนของประชาธิปไตยที่ค่อยๆเติบโตขึ้นทั่วผืนแผ่นดินรวมทั้งเรือนแพในริมน้ำหน้าวัดพนมยงค์แห่งนี้

นิสัยรักการผจญภัยทำให้นายเสียงไปบุกเบิกพื้นที่ทำกินผืนใหม่ ในเขตอำเภอวังน้อย จังหวัดสระบุรี ในปัจจุบันกระทั่งท้องทุ่ง

ซึ่งเต็มไปด้วยโขลงช้างป่าได้ตายลงไปเป็นเบ้าหลอมของความคิดของเด็กชายปรีดีอย่างสำคัญยิ่งในระยะต่อมาพื้นที่แห่งนี้อดีตเคยเป็นเรือนไม้ของครองครัวพนมยงค์รอบล้อมด้วยผืนนา200ไร่ที่ได้จากการบุกเบิกขับไล่โขลงช้างป่าคุณยายน้องได้เล่าให้ฟังว่านายปรีดีได้ความคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองมาจากประเทศฝรั่งเศสคุณยายบอกแก่ไม่เชื่อเพราะว่าจริงๆแล้วพี่ชายของท่านมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงบ้านใหม่ตอนที่ได้เข้ามาอยู่ในท้องนาที่นี่

ท่านก็มักจะคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่คุยเรื่องปัญหาบ้านเมืองปัญหาอะไรต่างๆบอกว่าได้หายไปในท้องไร่ท้องนาทั้งวันจากนั้นพ่อของนายปรีดีก็ได้ใช้งานยอย่างหนักถามว่าเหนื่อยไหมเหนื่อยและยังอยากจะเรียนอยู่อีกหรือไม่เรียนและจะไปเรียนอะไร

ซึ่งเขาได้บอกว่าอยากเรียนกฎหมายหลังจากนั้นนายปรีดีก็ได้เข้าเรียนศึกษากฎหมายโรงเรียนกรวงธรรมการเมื่ออายุได้17ปีและสอบไล่วิชากฎหมายขั้นเนติบัณฑิตย์ได้ในอีก2ปีต่อมาก่อนได้ขัดเลือกจากกระทรวงยุติธรรม

 

สนับสนุนโดย  ทางเข้าdewabet