ป้ายกำกับ: bk8

ประวัติศาสตร์รูปภาพทังก้า

สำหรับทังก้าในภาษาไทยเรียกว่าภาพพระปลดมันเป็นศิลปะอย่างหนึ่งในศาสนาพุทธชั้นสูงที่พุทธศาสนิกชนสายวัชรยานคือกลุ่มคนที่อยู่ทางแทบหลังคาโลกเช่นทิเบตเนปาลภูฏานอะไรแทบนั้นแหละเขาได้นับถือกันมันจะเป็นลักษณะภาพวาดหรือว่าภาพปักหรือที่เขาได้ทำบนฝ้ายหรือผ้าไหม

ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเขาจะเขียนเป็นภาพของพระพุทธเจ้าพระโพธิสัตว์แล้วก็เรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธประวัตที่หลากหลายไม่ก็จะเป็นภาพจักรวาลตามความเชื่อของพระพุทธศาสนาในนิกายนั้นเอาง่ายๆเลยเขานั้นได้ทำขึ้นเพื่อเทิดทูนพระพุทธเจ้านี่แหละถ้าจะเปรียบกับบ้านเราก็น่าจะเปรียบได้เหมือนกับพระพุทธรูปหรือว่าจิตกรรมฝาผนังนั่นเอง

นอกจากนี้ทังก้านั้นมันจะเป็นสิ่งที่ทำมาจากผ้าดูผืนแบนๆแต่ว่ามันก็มีวิธีการทำที่ซับซ้อนไม่แพ้พระพุทธรูปเลยทีเดียวยิ่งเป็นภาพทังก้าในแบบฉบับโบราณแล้วมันยากขนาดไหน

โดยวิธีการทำทังก้าในแบบฉบับโบราณดั่งเดิมจะมีความเว่อวังอลังการมากตั้งแต่วัตถุอุปกรณ์ที่ใช้ผลิตสีที่พวกเขานั้นใช้มันจะเป็นสีที่มาจากธรรมชาติที่ได้สกัดมาจากแร่ธาตุต่างๆที่จะต้องไปงมหาแถวเทือกเขาเสร็จแล้วยังไม่พอจะต้องไปหายางไม้ชนิดดีเพื่อเอามาบดผสมกับสีชนิดนี้

ส่วนสีทองที่เราเห็นอยู่บนผ้าผืนนี้มันคือทองคำทองและน้ำที่ได้เอามาผสมสีมันไม่ใช่น้ำธรรมดาปะปาจะต้องเป็นน้ำแร่จากธรรมชาตเท่านั้นและอุปกรณ์ที่เขาจะใช้ในการเขียนได้ทำมาจากเขาจามรีที่เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่ได้อศัยอยู่ในเทือกเขาแทบนั้นแต่ในปัจจุบันนี้เขาใช้พู่กันเขียนกันแล้ว

ซึ่งภาพเขียนที่ได้นั้นจะมีความปราณีตมากสีที่นำเอามาเขียนมันก็จะมีความชัดเจนคมชัดว่ากันว่ามันจะสดใสยาวนานนับร้อยปีเลยทีเดียวจากขั้นตอนการรวบรวมไปจนถึงการผลิตเราคงจะนึกออกแล้วว่ามันจะกินเวลานานขนาดไหน

ดังนั้นทังก้าจึงได้เป็นมากกว่าภาพที่ธรรมดาเท่านั้นเวลาวาดภาพทังก้าชาวพุทธในแทบนั้นก็จะมีความเชื่อเหมือนกับบ้านเราเลยที่เชื่อในการสร้างพระพุทธรูปคือผู้ที่ร่วมสร้างก็จะได้รับบุญกุศลเช่นกันแต่มันก็น่าเสียดายที่ทังก้าโบราณต่างๆเรามีขอมูลประวัติความเป็นมาน้อยมาก

เนื่องด้วยตามธรรมเนียมการปฏิบัติของศาสนาพุทธในเทือกแถวนั้นในเวลาที่เขานั้นสร้างอะไรไว้อย่างเรียบร้อยแล้วเขาจะไม่จารึกเอาไว้ว่าใครเป็นคนสร้างใครเป็นคนบริจากให้แต่มันจะมีข้อเสียมันไม่ดีต่อทางโบราณคดีก็คือมันยากกว่าที่จะไปทำการหาสืบค้นหาประวัติต่างๆได้ยาก

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  bk8

เรื่องราวของเทพารักษ์กับชายหนุ่มตัดต้นไม้ 

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นณหมู่บ้านแห่งหนึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นณหมู่บ้านแห่งหนึ่งโดยมีชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาทำอาชีพกับต้นไม้ทุกวันใครจะเข้าไปที่ป่าริมลำธารแห่งหนึ่งเพื่อที่จะได้ตัดต้นไม้ ตอนนี้อยู่วันหนึ่งพี่เริ่มโชคร้ายก็เกิดขึ้นกับเขาเพราะว่าเขานั้นได้เสริมทำขวานตกลงไปในแม่น้ำ

ซึ่งเขานั้นเป็นคนจนไม่มีเงินมากพอที่จะสามารถซื้อกว่าทำไมทำให้เขาร้องไห้เสียใจเป็นอย่างมากเพราะเขาไม่มีเงินมาซื้อขวัญใหม่และเมื่อเป็นอย่างนี้เขาก็ไม่มีอาชีพที่จะทำมาหากินอีกต่อไปแล้วแต่อยู่อยู่เขาก็ต้องหยุดร้องไห้เพราะดีมีแสงสว่างจ้ามากเกิดขึ้นทำให้เขาแสบตาเป็นอย่างมากเมื่อเปิดตาขึ้นมาอีกครั้งเขาก็พบกับเทพารักษ์หนุ่มคนหนึ่ง

โดยเทพารักษ์คนนั้นบอกว่าเจ้าร้องไห้เพราะเรื่องอะไรให้หนุ่มบอกว่าเขานั้นได้

เผลอทำขวัญไม้ของตัวเองตกลงไปในแม่น้ำและตอนนี้เขาก็ไม่มีขวานที่จะมาตัดต้นไม้อีกแล้วเทพารักษ์สงสารจึงบอกว่าถ้าจะช่วยเจ้าโดยการงมหาขวานของเจ้าเองสัก เผลอทำขวัญไม้ของตัวเองตกลงไปในแม่น้ำและตอนนี้เขาก็ไม่มีขวานที่จะมาตัดต้นไม้อีกแล้วเทพารักษ์สงสาร

จึงบอกว่าถ้าจะช่วยเจ้าโดยการงมหาขวานของเจ้าเองสักพักเทพารักษ์ก็หายตัวไป 5 นาทีต่อมาเทพารักษ์ก็กลับขึ้นมาพร้อมกับขวานทองที่อยู่ในมือเทพารักษ์ถามชายหนุ่มว่า นี้ใช่ขวานของเจ้าหรือไม่ชายหนุ่มรีบตอบทันทีว่านี้ไม่ใช่ขวานของข้าเมื่อได้ยินอย่างนั้นเทพารักษ์ก็ได้ลงไปใต้แม่น้ำอีกครั้งไม่นานนัก เทพารักษ์ก็ขึ้นมาจากแม่น้ำอีกครั้ง ขวานเงินที่อยู่ในมือ หลังจากนั้นเขาก็ได้ตอบทันทีว่านี่ก็ไม่ใช่ขวานของข้าเช่นเดียวกัน

หลังจากนั้นเทพารักษ์ ก็ได้หายตัวไปในน้ำอีกครั้งแต่คราวนี้ขวัญที่ได้มานั่นก็คือขวัญไม้ซึ่งเป็นขวานของชายตัดต้นไม้เมื่อใช้ตัดต้นไม้เห็นดีใจและขอบคุณเทพารักษ์เป็นอย่างมากพร้อมกับบอกว่าสักวันหนึ่งจะตอบแทนหลังจากนั้นเขาก็กำลังจะลุกเดินจากไปอยู่ๆเทพารักษ์ก็เรียกชายหนุ่มคนนั้นพร้อมกับเศษขวานทองและขวามีเงินในมือออกมาและมอบให้กับชายตัดต้นไม้

เขาบอกว่าใช้กับต้นไม้นั้นเป็นคนดีใช้กับต้นไม้จะได้ขวัญไปเมื่อเอาไปขายก็ได้เงินเป็นจำนวนมากจนได้กลายเป็นเศรษฐีไม่นานนัดชาวบ้านก็ได้รู้ว่าเศรษฐีชายกับต้นไม้นั้นได้เงินมาได้อย่างไรทำให้มีเพื่อนบ้านที่อิจฉาคนหนึ่งได้ไป น้ำตาลนั่นก็คือการขว้างขวานของตัวเองซึ่งเป็นควันไม้ลงไปในแม่น้ำอีกครั้งเทพารักษ์ก็ปรากฏ

ตัวมาเช่นกันและเมื่อเทพารักษ์กับขวานทองมาให้ชายหนุ่มคนนั้นก็บอกว่าใช่บอกว่าขวานทองนั้นคือของตัวเองและยังบอกอีกว่าขวานเงินนั้นก็เป็นของตัวเองแต่ขวัญที่เป็นไม้ของตัวเองนั้นไม่ใช่ของตัวเองจริงๆแล้วเทพารักษ์นั้นรู้ว่าชายหนุ่มคนนี้โกหกเทพารักษ์จึงลงโทษหายตัวไปไม่ให้ทั้งขวัญไม้ของชายหนุ่มคนนี้คืนรวมถึงเขาก็ไม่ได้ขวานทองเหลืองความเงินด้วยเช่นเดียวกันนิทานเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่สอนว่าโลภมากลาภหาย

 

สนับสนุนโดย  bk8

ตำนานมนุษย์หมาป่ามีอยู่จริงๆบนโลกหรือเปล่า?

ถ้าพูดถึงเรื่องตำนานมนุษย์หมาป่าเราเชื่อว่าหลายๆคนน่าจะเคยได้ยินแล้วก็น่าจะได้เห็นกันมาแล้วเพราะตำนานนี้มันค่อนข้างที่จะเป็นตำนานที่โด่งดังมากที่สุดในลำดับต้นๆของโลกเลยก็ว่าได้ โดยลักษณะทั่วไปของมนุษย์หมาป่าก็จะเป็นลักษณะที่ว่าเป็นมนุษย์ ที่เปลี่ยนกายเป็นหมาป่าและมีการยืนหรือลักษณะท่าทางในการเดินเหมือนคนทั่วไปก็คือเดินสองขาแล้วก็จะเปลี่ยนกายในคือที่พระจันทร์เต็มดวงและจะต้องมองไปที่พระจันทร์เท่านั้น

ถึงจะเปลี่ยนกายได้ ซึ่งมนุษย์หมาป่านั้นตามประวัติเขาได้ถูกจัดให้อยู่หมวดหมู่เดียวกันกับพวกผีแวมไพร์ด้วย โดยสาเหตุที่คนเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์หมาป่าได้นั้นตามตำนานได้บอกเอาไว้ว่าเพราะโดนคำสาปจากการที่ชอบล่าสัตว์ป่าจึงถูกให้กลายเป็นมนุษย์หมาป่าโดนหลีกเลี่ยงไม่ได้และวิธีเดียวที่สามารถหยุดมนุษย์หมาป่าได้ก็คือจะต้องจับตายเพียงเท่านั้น ซึ่งวิธีสังหารมนุษย์หมาป่าแต่ละตำนานมันก็จะมีวิธีที่แตกต่างกันออกไปอย่าที่เราได้บอกกันไปก่อนน่านี้ว่า

ตำนานมนุษย์หมาป่ามันมีอยู่หลายที่และมันได้มีอยู่หลายตำนานมากแต่วิธีสังหารมนุษย์หมาป่าที่โด่งดังที่สุดจะมีอยู่สองวิธีด้วยกันคือ หนึ่งจะต้องยิงกระสุนให้เจาะที่หัวใจของมนุษย์หมาป่าเท่านั้นและกระสุนนั้นมันก็จะต้องเป็นกระสุนที่ต้องทำมาจากโลหะเงินด้วยเพราะถ้าเป้นกระสุนแบบอื่นจะไม่สามารถสังหารมนุษย์หมาป่าได้นั่นเอง

หรือ อีกวิธีหนึ่งที่โด่งดังเช่นกันก็คือจะต้องใช้ดาบที่ลงคาถาอาคมไว้แทงทะลุไปที่หัวใจเท่านั้นถึงจะหยุดมนุษย์หมาป่าได้นั่นเอง ซึ่งตรงนี้มันเป็นตำนานมนุษย์หมาป่าและการสังหารมนุษย์หมาป่าที่เราจะได้ยินกันบ่อยมากแต่ถามว่าในโลกเรามันมีเพียงตำนานที่เป็นครึ่งคนครึ่งหมาป่าหรือแค่มนุษย์หมาป่าอย่างเดียวหรือเปล่าถามตามข้อมูลที่เราได้ไปหามาต้องขอบอกเลยว่ามันไม่ใช่

แต่ละภูมิภาคแต่ละทวีปก็จะมีตำนานในละที่ที่แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่นในแทบอเมริกาใต้มันก็จะมีตำนานมนุษย์งูหรือสิ่งมีชีวิตที่แท่นบนเป็นคนแท่นล่างเป็นงูในแทบแอฟริกาก็มีตำนานมนุษย์เสือดาวมนุษย์ช้างและมนุษย์เสือดำหรือแม้แต่ในแทบประเทศเราก็ยังมีตำนานครึ่งคนครึ่งสิงโตที่เราเรียกในนามว่า นรสิงห์

ก็มีอยู่เช่นกัน ซึ่งตำนานตรงนี้ส่วนใหญ่มักจะเป็นตำนานที่เป็นเฉพาะความเชื่อที่เชื่อมโยงของเรื่องศาสนาของแต่ละพื้นที่แต่ในเรื่องของมนุษย์หมาป่าคนส่วนใหญ่เชื่อกันว่ามันน่าจะมีอยู่จริงๆ

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  bk8

เกล็ดความรู้เรื่องงานศิลปะ

วันนี้เราจะมาพูดกันในเรื่องประวัติศาสตร์ศิลปะบ้างดีกว่า ประวัติศาสตร์ศิลปะแบ่งเล่าได้หลายๆแบบซึ่งเราจะมาแบ่งเล่าประวัติศาสตร์ศิลปะตามMovememtหรือกลุ่มงานที่สร้างขึ้นในระยะเดียวกันมีแก่นเดียวกัน

และยังมีกลุ่มศิลปินที่โด่งดังของตัวเองคำจำกัดความสำหรับงานศิลปปะแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ เริ่มจากคำแปลของภาษาไทยก่อนซึ่งก็น่าสนใจดีlmpressionism แปลว่า ลัทธิประทับใจมันอาจจะฟังดูแล้วมันตลกๆแต่มันก็ชัดเจนดีเพราะว่า lmpressionismมันได้เป็นงานที่ทางผู้สืบทอดเลือกนำความรู้สึกแบบน่าประทับใจในช่วงเสี้ยวเวลาใดเวลานึงที่จะนำเอามาสืบทอดออกมาให้มันได้เป็นผลงาน เนื่องจากได้มีการเกิดขึ้นของlmpressionism มันได้เกิดขึ้นมาที่ประเทศฝรั่งเศส

ในช่วงศตวรรษที่19เมื่อประมาณ1860-1920จากนั้นในกลุ่มด้านศิลปินที่ได้ถูกจัดว่ามันได้เป็นกลุ่มของlmpressionistมันก็ยังได้สร้างอิทธิพลมานานอย่างต่อเนื่องจนถึงปันจจุบันนี้ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่บางคนยกให้เป็นจุดเริ่มต้นของยุคโมเดิร์นที่มันได้เปลี่ยนวิธีการให้คุณค่าต่องานศิลปะและได้เปลี่ยนวิธีในการทำงานของศิลปินไป

โดยอย่างสิ้นเชิงเลยทั้งนี้เลยถามว่าการถ่ายทอดของความรู้สึกที่มันน่าประทับใจออกมาให้เป็นงานแล้วมันพิเศษตรงไหนคืองานอื่นมันก็จะอธิบายความรู้สึกประทับใจเหมือนกันหรือเปล่ามันไม่ใช่แบบนั้นหรือ และด้านอิมเพรสชั่นนิสม์มันก็อาจจะดูเผินๆมันก็อาจจะเหมืองการวาดรูปสีน้ำมันให้มันเบลอๆเข้าไว้เท่านั้นเอง

นี่และใน คำตอบและคำถามมันก็คือมันก็ต้องเป็นว่า คุณค่าที่เรานั้นให้กับงานศิลปะในยุคหนึ่งมันก็ไม่ได้ให้คุณค่ากับความประทับใจของคนวาดมากนักและในคุณค่าของด้านงานศิลปะที่จะต้องเป็นอะไรที่มันจะต้องดูแบบยิ่งใหญ่ไปกว่านี้จากนั้นมันได้เข้ามาถึงในช่วงศตวรรษที่19และในยุคช่วงในก่อนน่านั้นเมื่อศตรรษที่18ในสมัยของยุคโรปบอกจะเรียกได้ว่ามันเป็นยุคที่จะทำให้ผู้คนได้ตื่นตัวกับความรู็ของปัญญา

หรือเราจะเรียกได้ว่ามันเป็นยุคEnlightenmentมันได้มีความคิดที่จะเชื่อในด้านของสติและปัญญาของคนมากกว่าที่จะให้ทุกอย่างนั้นมันได้เป็นไปดังคำอธิบายของศาสนา เนื่องจากในสมัยก่อนแค่ได้บอกว่าโลกมันกลมมันก็มีสิทธิที่จะถูกจับไปประหารได้แล้วเพราะว่ามันอาจจะเข้าไปทำให้มีความขัดเกี่ยวกับในเรื่องของศาสนาอะไรประมาณนี้และในส่วนศิลปะในยุคศตวรรษที่18มันจะเรีกว่าเป็นยุคโรแมนติกด้านงานศิลปะนั้นมันจะได้ถ่ายทอดออกมาจากความรู้สึกของเหล่าศิลปินแต่ว่ามันก็ไม่ได้เป็นความรู้สึกที่มันธรรมดา

 

สนับสนุนโดย  bk8

ตำนานนางเงือกยุโรป  นางเงือกสองหาง เมลูซีน 

ภาพนางเงือกในโซนยุโรปนั้นว่ากันว่ามีการเรียกชื่อนางเงือกนี้ว่าเมลูซีน ซึ่งตำนานของ  เมลูซีน นั้นมีการระบุรูปร่างของเธอเอาไว้ว่าด้านบนของเมโลเดียนจะเหมือนกับหญิงสาวทั่วไปส่วนด้านล่างนั้นจะมีลักษณะคล้ายกับงู

ซึ่งด้านบนของ  เมลูซีน  นั้นนอกจากผู้หญิงแล้วยังมีปีกเหมือนกับนก มีเรื่องเล่าย้อนไปหลายพันปี ว่ามีกษัตริย์องค์หนึ่งชื่อว่าalias   อยู่มาวันหนึ่งกษัตรย์alias  ได้เดินทางไปล่าสัตว์ในป่าแล้วเขาก็ไปเจอกับหญิงสาวงามคนหนึ่งอยู่ในป่า กษัตรย์ alias ตกหลุมรักหญิงงามในทันทีโดยที่พระองค์ไม่รู้เลยว่าหญิงงามคนดังกล่าวนั้นคือนางฟ้า กษัตรย์ alias ได้ขอนางฟ้าแต่งงานและชวนไปอยู่ในเมืองด้วยกัน นางฟ้าตอบตกลงโดยเธอมีข้อแม้ว่า

ถ้าเธอมีลูกขณะที่เธอคลอดลูกและตอนที่เธออาบน้ำให้กับลูก กษัตรย์ alias จะต้องไม่เข้าไปดูเด็ดขาด ซึ่ง กษัตรย์ alias ได้ตอบตกลงหลังจากนั้นทั้งสองคนก็ไปอยู่ในเมืองด้วยกันครองเมืองอย่างมีความสุขเรื่อยมาจนวันนึงนางฟ้าตั้งครรภ์และคลอดลูกออกมา ซึ่งระหว่างที่มีการคลอดลูกอยู่นั้นกษัตรย์ alias ได้เดินเข้าไปในห้องคลอด

เพราะพระองค์ไม่เห็นว่าจะมีคนใช้คนไหนเข้าไปช่วยพระมเหสีของพระองค์ทำคลอดทำให้พระองค์รู้สึกเป็นห่วงพระมเหสีของตนเองเป็นยิ่งนักแต่เมื่อพระองค์เปิดประตูเข้าไปข้างในห้องที่กำลังมีการคลอดลูกนั้นพระองค์ก็พบว่าพระมเหสีของพระองค์นั้นไม่ใช่มนุษย์และเมื่อพระมเหสีเห็นว่า กษัตรย์ aliasผิดคำพูดที่เคยให้ไว้นางฟ้าจึงได้อุ้มทารกทั้งสามคนนี้หายไปบนอากาศ และไปซ่อนตัวที่เกาะอวารอน หลังจากนั้นก็อยู่ที่เกาะเหล่านั้นเรื่อยมา

ซึ่งเด็กแฝดทั้ง 3 คนนั้นโตมาก็กลายเป็นสาวสวยโดยพี่สาวคนโตชื่อว่า  เมลูซีน ซึ่งเธอรู้สึกไม่พอใจที่พวกเธอทั้งสามคนต้องมาอยู่เกาะเมลูซีนจึง ได้ชวนน้องทั้งสองคนของเธอไปทำการแก้แค้นพ่อ ด้วยการจับพ่อมาขังเอาไว้ เมื่อแม่ของของทั้งเมลูซีนรู้เรื่องจึงได้มาช่วยปล่อย    กษัตรย์ alias และนางยังได้ทำโทษเมลูซีนด้วยการสาป

คำสาปนั้นคือในทุกวันเสาร์นางในร่างกายท่อนล่างจะต้องกลายเป็นหาง   เมลูซีน เสียใจมากจึงได้หนีออกจากเกาะ และไปอยู่คนเดียวตามลำพัง โดยทุกวันเสาร์ร่างกายท่อนร่างจะมีหาง นางต้องอยู่ภายในน้ำ อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ เลมูซีนกำลังนั่งร้องเพลงอยู่ในป่ามีอัศวินหนุ่มเดินทางมาพบและขอนางแต่งงาน

โดยนางบอกกับอัศวินหนุ่มว่าทุกวันเสาร์อัศวินหนุ่มจะต้องปล่อยให้ตัวเองอยู่ลำพังไม่ให้ใครมารบกวน ซึ่งอัศวินหนุ่มตอบตกลง และทั้งคู่ก็อยู่ด้วยกันเรื่อยมาจนมีลูกด้วยกัน 3 คน จนอยู่มาวันหนึ่งอัศวินหนุ่มได้มาแอบดูจึงทำให้รู้ว่า เมลูซีนไม่ใช่คนแต่มีท่อนร่างเหมือนงูเพราะขาทั้งสองข้างเหมือนหางงู เมื่อคืนรู้ความจริงจึงได้แปลงร่างกายเป็นมังกรและหนีไป 

 

ขอขอบคุณ  bk8  ที่สนับสนุนมาโดยตลอด