เดือน: เมษายน 2020

ประวัติพระพุทธเจ้าตอนเป็นเด็ก 

         พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์และเป็นศาสดาของศาสนาพุทธซึ่งประวัติความเป็นมาของพระพุทธเจ้านั้นเชื่อว่าทุกคนคงรู้กันมาบ้างแล้วเพราะเป็นวิชาบังคับของเด็กนักเรียนทุกคนในชั้นประถมที่จะต้องมีการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับประวัติของพระพุทธเจ้าว่ามีความเป็นมาอย่างไรสำหรับพระพุทธเจ้านั้น เกิดมาพระองค์ก็มีฐานะร่ำรวยเนื่องจากเกิดมาเป็นลูกของกษัตริย์ซึ่งในครั้งแรกที่พระองค์เกิดมานั้นมีการเล่าขานกันว่าเมื่อพระองค์คลอดมาปุ๊บพระองค์ก็สามารถเดินได้ 7 ก้าวทันทีและแต่ละย่างก้าวที่พระองค์เดินผ่านมานั้นก็จะมีดอกบัวผุดขึ้นตามรอยเท้าของพระองค์

ซึ่งตอนที่เกิดมานั้นพระองค์ถูกตั้งชื่อว่าเจ้าชายสิทธัตถะโดยพระมารดาของพระองค์นั้นชื่อพระนางสิริมายาก่อนที่จะมีการตั้งท้องเจ้าชายสิทธัตถะพระนางสิริมายาในฝันถึงช้างเผือกซึ่งมีมากถึงจำนวน 3 คู่ด้วยกันว่าช้างทั้ง 3 คู่นั้นได้เดินเข้ามาหาของพระนางหลังจากนั้นพระนางก็ตรงตั้งครรภ์ขึ้นมาซึ่งตามตำนานของเจ้าชายสิทธัตถะนั้นว่ากันว่าพระองค์เกิดใต้ต้นสาละซึ่งต้นสาละต้นที่พระองค์เกิดนั้นอยู่ที่บริเวณสวนลุมพินีวันประเทศเนปาลวันที่เจ้าชายสิทธัตถะเกิดนั้นคือวันขึ้น 15 ค่ำเดือนวิสาขะและเกิดก่อนพุทธศักราช 80 ปีในช่วงที่พระนางสิริมายาตั้งครรภ์เจ้าชายสิทธัตถะนั้น

ได้มีหมอหลวงมาทำนายฝันของพระนางว่าเด็กชายที่อยู่ในท้องของพระนางนั้นมีบุญญาธิการถ้าหากคลอดออกมาแล้วจะได้เป็นเด็กผู้ชายซึ่งถ้าเด็กผู้ชายคนนี้เลือกที่จะเป็นกษัตริย์เขาจะเป็นกษัตริย์ที่มีชื่อเสียงเกรียงไกรระดับโลกแต่ถ้าเกิดเลือกไปอยู่ในทางธรรมแล้วก็เขาจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อไปของโลกเช่นเดียวกัน

หลังจากที่พระนางสิริมายาทรงทราบคำทำนายก็เกรงว่าเจ้าชายสิทธัตถะจะเลือกไปในทางธรรมพระองค์จึงได้ทรงสั่งห้ามให้สาวใช้และทหารที่อยู่ในพระราชวังห้ามมีคนแก่เข้ามาทำงานโดยพระองค์ต้องการให้มีเฉพาะคนหนุ่มคนสาวที่หน้าตาสะสวยเท่านั้นทำให้ตั้งแต่เจ้าชายสิทธัตถะเกิดจนโตเป็นหนุ่มแล้ว เห็นคนแก่หรือเด็กมาก่อนเลยจนเจ้าชายสิทธัตถะอายุได้ 16 ปี

ก็ได้แต่งงานกับพระนางพิมพาหลังจากนั้นก็มีลูกด้วยกัน 1 คนจนมีอยู่มาวันหนึ่งเจ้าชายสิทธัตถะได้มองออกไปนอกประสาทแล้วมองเห็นคนแก่และเด็กพระองค์จึงเกิดความสงสัยจึงได้ออกเดินทางมาจากนอกประสาทเพื่อไปดูซึ่งเมื่อพระองค์เดินออกมาจากปราสาทราชวังทำให้พระองค์เห็นว่าภายนอกนั้นยังมีคนเกิดแก่เจ็บตายทำให้พระองค์คิดจะให้เข้าใจถึงทางธรรมและการเกิดแก่เจ็บตายเจ้าชายสิทธัตถะจึงได้สละราชบัลลังก์และออกบวชตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ความตายที่สุดสยองขวัญ

ความตายที่สุดสยองขวัญของเลดี้ มาร์กาเร็ต โพล แห่งประเทศอังกฤษ

    สำหรับตำนานสยองขวัญของหอคอยอังกฤษนั้นไม่ได้มีแค่เพียง 2- 3 ตำนานเท่านั้นแต่มีมากมายหลายตำนานด้วยกันและที่เป็นที่สยองขวัญและเป็นการตายที่สุดถึงมากที่สุดอีกตำนานหนึ่งนั่นก็คือตำนานของเลดี้ มาร์กาเร็ต โพล  ซึ่งในช่วงของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 การตายของขุนนางหรือเจ้านายชั้นสูงว่าโหดเหี้ยมแล้วการตายของเลดี้ มาร์กาเร็ต โพล

ซึ่งเป็นรุ่นหลังจากที่พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 สวรรคตไปกับเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวมากกว่าโดยพระนางถูกลอบทำร้ายและฆ่าตายโดยเชื่อกันว่าคนที่ฆ่าพระนางนั้นเป็นลูกชายของพระนางเอง

ซึ่งมีการเล่าลือกันว่าเหตุที่ลูกชายของพระนางนั้นต้องก่อกบฏและเห็นภาพพระนางและคนในหอคอยนั่นก็เพราะว่า ลูกชายของพระนางนั้นต้องการที่จะเข้าฝั่งกับประเทศฝรั่งเศสซึ่งในสมัยโบราณนั้นประเทศอังกฤษประเทศฝรั่งเศสไม่ถูกกันอยู่แล้วทำให้หากต้องการที่จะเข้าพวกไปอยู่ฝรั่งเศสลูกชายของพระนางก็จะต้องมีการกบฏและเห็นภาพพระนางก่อนดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่มีการกบฏก็คือพระนางเลดี้ มาร์กาเร็ต โพลได้ถูกประหารชีวิตด้วยการตัดคอ

แต่เนื่องจากตอนที่เราเพชฌฆาตกำลังตัดคอพระนางนั้นได้ขัดขืนไม่ยอมให้เพชฌฆาตประหารชีวิตพระนางทำให้ระหว่างที่ดาบฟาดลงมานั้นโดนไปที่ไหล่ของพระนางซึ่งทำให้พระนางเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเสียงร้องโหยหวนของพระนางดังกึกก้องไปทั่วและกว่าที่เพชฌฆาตจะสามารถประหารชีวิตนางได้ก็ต้องฟันแล้วฟันเหล้าไปที่ร่างกายของพระนางรวมทั้งสิ้น 10 กว่าครั้งพระนางถึงสิ้นใจตายซึ่งถือว่าการประหารชีวิตในครั้งนั้นเป็นการประหารชีวิตที่ยาวนานที่สุดและสร้างความทรมานให้กับนักโทษมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาเพราะไม่เคยมีใครที่จะถูกฟันครั้งแล้วครั้งเล่าถึง 10 ครั้งด้วยกัน

ก่อนจะสิ้นใจตายและเมื่อพระนางสิ้นพระชนม์ไปแล้ววิญญาณของพระนางก็ยังคงหลอกหลอนผู้คนที่อยู่ภายในหอคอยแห่งนี้โดยในทุกต้องคืนผู้คนมักจะได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนเหมือนเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสและไม่ใช่แค่เสียงร้องโหยหวนของพระนางเลดี้ มาร์กาเร็ต โพลเท่านั้นแต่ยังมีเสียงร้องโหยหวนของเรานักโทษคนอื่นที่ถูกพวกกบฏประหารชีวิต

พวกเขายังคงวนเวียนรอคอยเพื่อที่จะแก้แค้นอยู่ในหอคอยดังกล่าวซึ่งในช่วงค่ำคืนหากใครผ่านไปผ่านมาแถวบริเวณหอคอยแห่งนี้มักจะเห็นชายหญิงเดินเต็มหอคอยไปหมดซึ่งแต่ละคนก็จะสวมชุดเต็มไหมโบราณรูปร่างแปลกตาและหากมองดีๆ

บางคนก็จะไม่มีหัวหรือบางคนก็แขนผ่าซึ่งสร้างความสยดสยองให้กับประชาชนที่อยู่บริเวณรอบๆหอคอยเป็นอย่างมากและถึงแม้เรื่องเล่าสยองขวัญของหอคอยแห่งอังกฤษนี้จะยังคงมีอยู่หลายตำนานแต่นักท่องเที่ยวก็ยังคงเดินทางไปเยี่ยมชมความงดงามของหอคอย

 

สนับสนุนโดย  9luck

ข้อห้ามในต่างประเทศ

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบท่องเที่ยวในต่างประเทศแล้วละก็คุณนั้นจะรู้ว่านอกจากภาษาและวัฒนธรรมและชีวิตความเป็นอยู่ที่มันได้ต่างไปจากบ้านเราแล้วยังมีกฏหมายที่เป็นข้อห้ามทางสังคมที่ได้ยึดถือและปฏิบัติด้วยกันมาแม้ว่าบางอย่างนั้นมันอาจจะดูแปลกไปซักหน่อยแต่ก็ยังมีเหตุผลแฝงอยู่เสมอดังนั้นถ้าไม่อย่างเชยละก็อย่าลืมจำนำเอาไปใช้กันด้วยละ

ห้ามซื้อขายหมากฝรั่งในประเทศสิงคโปร์

เมื่อคุณไปเที่ยวที่ประเทศสิงค์โปรซึ่งได้เป็นประเทศที่ขึ้นชื่อว่าสะอาดและเป็นระเบียบที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเนื่องจากมีกฎหมายห้ามมิให้นำเข้าและซื้อขายหมากฝรั่งในประเทศที่เหมือนกับอย่างที่บ้านของเรายกเว้นในกรณีที่จะต้องมีใบรับรองแพทย์มายืนยันเท่านั้นและกฎหมายข้อนี้ได้ถูกให้ใช้โดยนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ตั้งแต่ปี1980และได้รับการอนุมัติและได้มีการเริ่มใช้กันอย่างจริงจังในปี1992

เนื่องจากชาวสิงค์โปร์และนักท่องเที่ยวได้มีการกินหมากฝรั่งและได้มีการทิ้งเอาไว้ที่สาธารณะอย่างเช่น ถนน รถไฟ ลิฟ หรือแม้กระทั่งรถบัส จึงต้องทำให้ทางรัฐบาลต้องสิ้นเปลืองงบประมาณอย่างมหาสารในการจ้างคนมาทำความสะอาดพื้นที่ดังกล่าวและสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามายังประเทศสามารที่จะนำหมากฝรั่งเข้ามาได้เพียงแค่สองห่อเท่านั้น

หากใครที่ได้นำเอาเข้ามามากกว่าที่ได้กำหนดในครั้งแรกจะถูกปรับสองหมื่นสามพันกว่าสบาทหากได้มีในครั้งต่อไปจะถูกดำเนินอคดีจำคุกหนึ่งปีและถูกปรับประมาณหนึ่งแสนสองหมื่นแปดพันรวมทั้งยังได้บังคับให้ทำความสะอาดภายในพื้นที่เพื่อเป็นการลงโทษให้สำนึกอีกด้วย

ห้ามเยียบเงินในประเทศไทย

ข้อนี่คนไทยต่างก็รู้ข้อห้ามนี้ก็เป็นอย่างดีแต่สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่จะเข้ามาท่องเที่ยวก็จะต้องศึกษาข้อนี้เอาไว้ให้ดีกันเลย เนื่องจากการกระทำดังกล่างได้เป็นความผิดทางด้านอาญาและถ้าหากไปเผลอกระทำเข้าละก็ แทนที่คุณนั้นจะได้ท่องเที่ยวอย่างที่ได้มีการวางแผนเอาไว้คุณอาจจะได้เข้าไปอยู่ในคุกของประเทศไทยก็เป็นได้แม้ว่าในหลายประเทศจะไม่มีข้อห้ามดังกล่าวแต่สำหรับคนไทยเราถือว่าเงินที่เรานั้นได้ใช้กันอยู่ไม่ว่าจะเป็นธนบัตรหรือเหรียญกษัตริย์นั้น

เป็นส่วนหนึ่งของเอกสารทางราชการโดยปรากฏพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งได้เป็นที่เคารพเบี้ยงสูงของคนไทยอยู่ในนั้น ดังนั้นเงินจึงถือว่าเป็นของสูงไม่ควรเหยียบหรือว่าข้ามเป็นอันขาดนอกจากเงินแล้วยังรวมถึงสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆเช่นหนังสือพิมพ์นิตยสารปฏิทินหรือยังรวมไปถึงสื่ออื่นๆที่ได้มีปรากฏพระบรมฉายาลักษณ์อีกด้วยเช่นกันหากคุณพบเห็นเงินที่ตกอยู่ตามสถานที่ต่างๆก็ควรเก็บขึ้นมาให้พ้นจากพื้นดีกว่าและก็อย่าลืมนำเอาเงินไปคืนเจ้าของเขาได้นะ

เรื่องราวของหลวงปู่กับเครืออาถรรพ์

มีความเชื่อว่าต้นเครือเขาหลงนั้นมันจะมีอยู่มากในป่าดงดิบตรงบริเวณที่มันได้ด้านทางเข้าของเมืองลับแล สำหรับในคดีตนั้นใครที่มีอาคมเก่ากล้าก็มักจะใช้ต้นเครือเขาหลงชนิดนี้เป็นม้วลสารที่ใช้สำหรับการสร้างวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่จะมีอนุภาพทางด้านเมตตามหานิยมเสน่ห์หาจึงได้ทำให้ผูคนที่ต้องมนต์นั้นต่างก็ได้มีความหลงไหลเป็นอย่างมากในตัวของผู้ที่ได้มาครอบครอง

เนื่องจากนี้ยังได้นำเอาไปมัดติดกับที่ด้านเสาประตูคอกวัวเพื่อจะทำให้โจนนั้นที่จะเข้ามาลักขโมยวัวหลงทางและจะหาทางออกไปเจอ เนื่องจากนี้เหล่าด้านร้านขายของต่างๆ ต่างก็นำได้เอาวัตถุมนคลที่ได้มีวัตถุของเครือเขาหลงปนอยู่หานำเอามาบูชา เพราะได้เชื่อกันว่าจะทำให้เหล่าลูกค้านั้นหลงไหลและจะต้องมาซื้อของที่ร้านเขาเป็นประจำ

โดยส่วนมากแล้วมักจะเลือกเอาเครือเขาหลงในวันอังคารเพราะเชื่อว่าฤทธิ์ของมันนั้นจะแรงกว่าวันอื่นๆ และก่อนใช้วานดังกล่าวจะมีคาถาเพิ่มให้กับเครือเขาหลงจากคำบอกเล่าจาก หลวงปู่พรหม นรินโทได้พูดถึงเรื่องด้านประสบการณ์ที่จะต้องตกอยู่กับอาถรรพ์ของเครือเขาหลงในครั้งหนึ่งว่าในครั้งนั้น ท่านได้เดินไปธุดงค์ไปยังป่าดงดิบแห่งหนึ่งเพื่อเจริญภาวนา

ในตอนแรกนั้นท่านก็ได้รู้สึกแปลกๆกับพื้นป่าแห่งนี้แค่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักท่านก็ยังได้ทำหน้าที่ของสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไป แต่เวลาผ่านไปสองคืนสองวันท่านกลับพบว่าตนเองได้เดินวนเวียนอยู่บริเวณที่เดิมจนกระทั่งเลยเวลามาถึงตอนเที่ยงของวันที่สาม ท่านได้รู้สึกเหนื่อยล้าท่านจึงได้นั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง

ในขณะที่ท่านได้นั่งบําเพ็ญภาวนาอยู่นั้นปรากฏว่าได้มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งมาร้องเรียก หลวงปู่ หลวงปู่ พอลืมตาขึ้นท่านก็ได้เห็นหญิงสาวแต่งตัวอยู่ในชุดไทย ซึ่งก็ได้แปลกใจแล้วว่าผู้หญิงตนนี้มาอยู่ในป่าได้อย่างไรท่านจึงได้ถามออกไปว่าเป็นผู้หญิงมาอยู่ในป่าคนเดียวได้อย่างไรไม่กลัวผีซางนางไม้ หรือสัตว์ร้ายหรืออย่างไร หญิงสาวเลยตอบว่าไม่กลัวหรอกเพราะเป็นเทพรักษาที่ป่าแห่งนี้ใครจะเข้าจะออกป่าใครทำดีหรือทำชั่วรู้หมดนอกจากนั้นนางยังได้เล่าว่าที่ผ่านมาได้มีคนเข้ามาบุกรุกป่าเป็นจำนวนมาก

ในบางทีนางก็ได้แก้งทำให้ต้นไม้นั้นล้มใส่จนตายก็มีและนอกจากนี้นางก็ได้ถามต่ออีกว่า หลวงปู่นั้นได้เข้ามาที่ป่าแห่งนี้ทำไม หลวงปู่ตอบว่าหลวงปู่เข้ามาแสวงธรรมหลวงปู่ได้ตอบทั้งที่ผู้หญิงดังกล่าวรู้ความเป็นมาของเรื่องราวทั้งหมดอยู่แล้ว

ข้อเรื่องที่เกี่ยวกับนายคิมจองอึน

คุณคงรู้จักคิมจองอิลที่เป็นผู้นำสูงสุดของประเทศเกาหลีเหนือที่เรานั้นมักจะเห็นเขาในรูปแบบของสื่อต่างๆและในวันนี้เราจะพาคุณมาพบกับเรื่องจริงของคิมจองอิลที่คุณอาจไม่เคยรู้

ประวัติโดยสังเขป 

คิมจองอึนนั้นคือลูกชายผู้สืบสายเลือดมาจากอดีตของผู้นำสูงสุดอย่างนายคิมจองอิลเขาได้เกิดในวันที่8มกราคม ปีเกิดของเขานั้นเป็นอะไรที่ค่อนข้างคลุมเครือโดยจะมีการคาดการเอาไว้ว่าเขาน่าจะเกิดในช่วงปี1982ไปถึงปี1984เขามีพี่น้องทั้งหมด3คนและแม้ว่าตัวเขาจะมีพี่ชายแต่ ซึ่งที่ทำให้คิมจองอึนเป็นตัวเต็งที่จะสืบต่อจากพ่อก็เป็นเพราะลูกชายคนโตนั้น

ได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตกมากเกินไปถึงขนาดเสนอให้เปิดประเทศ ซึ่งเป็รสิ่งที่ผู้เป็นพ่อนั้นรับไม่ได้นั่นจึงทำให้คิมจองอึนนั้นจึงมีความเหมาะสมมากกว่าจากนั้นนายคิมจองอิลผู้เป็นพ่อก็เสียชีวิตลงและก็ได้มีการประกาสแต่งตั้งให้นายคิมจองอึนได้เป็นผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือตั้งแต่ในช่วงปลายปี2011เป็นต้นมาและยังคงเป็นสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ชีวิตในวัยเรียน

หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าในช่วงของวัยเรียนของผู้นี้เขาได้เข้าศึกษาที่lnternational School of Berneที่อยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในช่วงราวๆปี1998ไปจนถึงปี2000โดยที่ในเวลาต่อมาด้านสืบต่างๆก็ได้มีโอกาสได้เข้าไปสัมภาษณ์เพื่อนร่วมชั้นของคิมจองอึนว่าในตอนนั้นตัวเขาเป็นอย่างไร ซึ่งพวกเขาได้กล่าวว่าคิมจองอึนในเวลานั้นไม่ได้เปิดเผยสถานของตัวเองเอาบอกว่าเขาเป็นลูกชายจากทูตของเกาหลีเหนือ

โดยมีการใช้ชื่อว่า พัค อึน เขาเป็นเพื่อนที่ดีเป็นคนสนุกสนานมีอารมณ์ขันเขาแถบจะไม่แสดงออกในเรื่องของการเมืองเลยแต่ก็มีลักษณะนิสัยอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือตัวเขานั้นได้เป็นคนที่เกียรความพ่ายแพ้และเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับชัยชนะ ซึ่งนอกเหนือจากนี้คอมจองอึนนั้นได้ชื่นชอบในกีฬาบาสเกตบอลมากเป็นพิเศษ

คิมจองอึนกับนักบาส

อย่างที่ได้มีการกล่าวมาแล้วว่าคิมจองอึนนั้นได้ชื่นชอบกีฬาบาสเกตบอลมากเป็นพิเศษถึงขณะได้เป็นเพื่อนกับนักบอสโดยในปีประนมาณ2014นั้นด้านตัวเขาและนักกีฬาDennis Rodmanได้พบกันที่กรุงเปียงยางพวกเขาได้นั่งชมการแข่งขันบอสระหว่างสหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือด้วยกันมีการพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ซึ่งทางDennis Rodmanก็ได้เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่าเอานั้นได้เจอกับนายคิมจองอึนกันอย่างได้

ไกล้ชิดกันมากๆพวกเขาสามารถพูดคุยในเรื่องต่างได้มากมายแต่นั้นก็ไม่ได้มีการเมืองการทหารเข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใดและตัวเขายังได้กล่าวอีกว่าคิมจองอึนนั้นไม่ได้เป็นคนที่เลวร้ายอะไรอย่างที่ผู้คนนั้นคิดกันนอกจากทั้งสองคนที่ก็ยังมีโอกาสที่ได้พบเจอกันบ้างอยู่บ่อยครั้งและเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเรื่อยมา

ตำนานกุมารทอง

  กุมารทองเป็นความเชื่อที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันก็ยังมีการเชื่อว่ามีกุมารทองอยู่ซึ่งคนเริ่มรู้จักกุมารทองมาจากวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน   โดยตามตำนานของขุนช้างขุนแผนนั้นต้นกำเนิดของกุมารทองมาจากที่คุณแผนจับได้ว่าเมียของตนเองที่ชื่อว่านางบัวคลี่ซึ่งขณะนั้นกำลังตั้งท้องอยู่ได้มีการคิดจะฆ่าขุนแผนด้วยการวางยาพิษดังนั้นขุนแผนจึงได้ฆ่านางบัวคลี่และผ่าท้องเอาเด็กออกมาจาก ท้องมาทำกุมารทอง ซึ่งในนิยายคุณช้างขุนแผนนี้เองกุมารทองจะกลายเป็นผู้ช่วยที่คอยช่วยเหลือขุนแผนอยู่ตลอดเวลา 

         ตามความเชื่อนั้นเชื่อกันว่ากุมารทองเกิดมาจากวิญญาณของเด็กผู้ชายที่ตายในท้องของมารดาแต่หากวิญญาณนั้นเป็นผู้หญิงจะเรียกอีกชื่อว่าหงส์พรายซึ่งตามความเชื่อนั้นเกิดจากคนที่มีวิชาอาคมแกร่งกล้าไปเอาวิญญาณของเด็กที่ตายในท้องแม่มาเลี้ยงไว้เป็นลูก ซึ่งมีหลักฐานเป็นเอกสารเขียนถึงขั้นตอนการทำกุมารทองเอาไว้ว่า จะต้องมีการไปนำเอาร่างของเด็กที่ตายท้องกลมออกมาจากท้องของแม่เด็ก และทำพิธีกรรม หลังจากนั้นต้องนำร่างของเด็กมาเผาไฟให้ร่างกายของเด็กแห้งสนิท

โดยต้องเผาให้เสร็จก่อนพระอาทิตย์ขึ้น แล้วนำร่างที่เผาแห้งแล้วมาลงรักปิดทองให้ทั่วทั้งตัว ทำให้เรียกชื่อกันว่า กุมารทองแต่ต่อมาประเทศชาติมีการพัฒนามากขึ้นผู้ที่มีอาคมไม่สามารถที่จะนำศพของเด็กทารกมาเผาแล้วปิดทองเป็นกุมารทองได้จึงได้มีการเปลี่ยนวิธีการการสร้างกุมารทองขึ้นมาใหม่โดยการนำดินเจ็ดป่าช้า มาสร้างเป็นรูปกุมารทอง และบริกรรมคาถา สร้างเป็นกุมารทองขึ้นมา 

ตั้งแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบันผู้คนต่างพากันกราบไหว้บูชากุมารทองเพื่อให้ช่วยเหลือเนื่องจากมีความเชื่อกันว่ากุมารทองนั้นมีอิทธิฤทธิ์มากมาย โดยในสมัยโบราณมักจะนิยมพกกุมารทองออกไปช่วยในการทำสงคราม  แต่ในปัจจุบันมีการสร้างกุมารทองเป็นรูปลักษณะเหมือนเด็ก และมีความเชื่อกันว่ามีวิญญาณของเด็กมาสิงสถิตอยู่ในรูปกุมารนั้น หากใครก็ตามที่จะเลี้ยงดูกุมารทองจะต้องมีการเลี้ยงดูเหมือนกับเลี้ยงดูลูกของตนเองต้องหาซื้อเสื้อผ้า 

ซื้อของเล่นรวมทั้งหาข้าวของมาให้กินเป็นประจำทุกวัน สำหรับปัจจุบันนี้คนที่นิยมบูชากุมารทองมักจะมีการนำน้ำแดงมาไหว้ และเวลากินข้าวหรือกินขนมก็ต้องเรียกกุมารทองมากินด้วย

ซึ่งมีการเชื่อกันว่าใครที่เลี้ยงกุมารทองแล้วดูแลกุมารทองเป็นอย่างดีกุมารทองก็จะให้คุณด้วยการช่วยเหลือด้วยการปกป้องอันตรายจากสิ่งชั่วร้ายต่างๆรวมถึงอาจจะมาให้เลขให้หวยทำให้ที่บ้านมีฐานะดีขึ้น  และของที่จะมาเส้นไหว้กุมารทองนั้นนอกจากน้ำแดงแล้วยังสามารถใช้เป็นน้ำสีต่างๆหรือน้ำผลไม้ก็ได้รวมถึงขนมกุมารทองจะนิยมชอบขนมโบราณแบบกล้วยน้ำว้า 

ตำนานนางเงือกยุโรป  นางเงือกสองหาง เมลูซีน 

ภาพนางเงือกในโซนยุโรปนั้นว่ากันว่ามีการเรียกชื่อนางเงือกนี้ว่าเมลูซีน ซึ่งตำนานของ  เมลูซีน นั้นมีการระบุรูปร่างของเธอเอาไว้ว่าด้านบนของเมโลเดียนจะเหมือนกับหญิงสาวทั่วไปส่วนด้านล่างนั้นจะมีลักษณะคล้ายกับงู

ซึ่งด้านบนของ  เมลูซีน  นั้นนอกจากผู้หญิงแล้วยังมีปีกเหมือนกับนก มีเรื่องเล่าย้อนไปหลายพันปี ว่ามีกษัตริย์องค์หนึ่งชื่อว่าalias   อยู่มาวันหนึ่งกษัตรย์alias  ได้เดินทางไปล่าสัตว์ในป่าแล้วเขาก็ไปเจอกับหญิงสาวงามคนหนึ่งอยู่ในป่า กษัตรย์ alias ตกหลุมรักหญิงงามในทันทีโดยที่พระองค์ไม่รู้เลยว่าหญิงงามคนดังกล่าวนั้นคือนางฟ้า กษัตรย์ alias ได้ขอนางฟ้าแต่งงานและชวนไปอยู่ในเมืองด้วยกัน นางฟ้าตอบตกลงโดยเธอมีข้อแม้ว่า

ถ้าเธอมีลูกขณะที่เธอคลอดลูกและตอนที่เธออาบน้ำให้กับลูก กษัตรย์ alias จะต้องไม่เข้าไปดูเด็ดขาด ซึ่ง กษัตรย์ alias ได้ตอบตกลงหลังจากนั้นทั้งสองคนก็ไปอยู่ในเมืองด้วยกันครองเมืองอย่างมีความสุขเรื่อยมาจนวันนึงนางฟ้าตั้งครรภ์และคลอดลูกออกมา ซึ่งระหว่างที่มีการคลอดลูกอยู่นั้นกษัตรย์ alias ได้เดินเข้าไปในห้องคลอด

เพราะพระองค์ไม่เห็นว่าจะมีคนใช้คนไหนเข้าไปช่วยพระมเหสีของพระองค์ทำคลอดทำให้พระองค์รู้สึกเป็นห่วงพระมเหสีของตนเองเป็นยิ่งนักแต่เมื่อพระองค์เปิดประตูเข้าไปข้างในห้องที่กำลังมีการคลอดลูกนั้นพระองค์ก็พบว่าพระมเหสีของพระองค์นั้นไม่ใช่มนุษย์และเมื่อพระมเหสีเห็นว่า กษัตรย์ aliasผิดคำพูดที่เคยให้ไว้นางฟ้าจึงได้อุ้มทารกทั้งสามคนนี้หายไปบนอากาศ และไปซ่อนตัวที่เกาะอวารอน หลังจากนั้นก็อยู่ที่เกาะเหล่านั้นเรื่อยมา

ซึ่งเด็กแฝดทั้ง 3 คนนั้นโตมาก็กลายเป็นสาวสวยโดยพี่สาวคนโตชื่อว่า  เมลูซีน ซึ่งเธอรู้สึกไม่พอใจที่พวกเธอทั้งสามคนต้องมาอยู่เกาะเมลูซีนจึง ได้ชวนน้องทั้งสองคนของเธอไปทำการแก้แค้นพ่อ ด้วยการจับพ่อมาขังเอาไว้ เมื่อแม่ของของทั้งเมลูซีนรู้เรื่องจึงได้มาช่วยปล่อย    กษัตรย์ alias และนางยังได้ทำโทษเมลูซีนด้วยการสาป

คำสาปนั้นคือในทุกวันเสาร์นางในร่างกายท่อนล่างจะต้องกลายเป็นหาง   เมลูซีน เสียใจมากจึงได้หนีออกจากเกาะ และไปอยู่คนเดียวตามลำพัง โดยทุกวันเสาร์ร่างกายท่อนร่างจะมีหาง นางต้องอยู่ภายในน้ำ อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ เลมูซีนกำลังนั่งร้องเพลงอยู่ในป่ามีอัศวินหนุ่มเดินทางมาพบและขอนางแต่งงาน

โดยนางบอกกับอัศวินหนุ่มว่าทุกวันเสาร์อัศวินหนุ่มจะต้องปล่อยให้ตัวเองอยู่ลำพังไม่ให้ใครมารบกวน ซึ่งอัศวินหนุ่มตอบตกลง และทั้งคู่ก็อยู่ด้วยกันเรื่อยมาจนมีลูกด้วยกัน 3 คน จนอยู่มาวันหนึ่งอัศวินหนุ่มได้มาแอบดูจึงทำให้รู้ว่า เมลูซีนไม่ใช่คนแต่มีท่อนร่างเหมือนงูเพราะขาทั้งสองข้างเหมือนหางงู เมื่อคืนรู้ความจริงจึงได้แปลงร่างกายเป็นมังกรและหนีไป 

 

ขอขอบคุณ  bk8  ที่สนับสนุนมาโดยตลอด

คดีที่ทำให้ทางการFBIสะเทือนใจ

บอนนี และไคลด์ คู่แท้จอมโจร

บอนนี และ ไคลด์ ได้โด่งดังขึ้นมาในหลังเดือนมีนาคมในปี1933 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าบุกในพื้นที่กบดานของชาวแก๊งของเขาได้ ซึ่งโดยทั้งคู่นั้นได้สามารถหลบหนีออกไปได้พร้อมกับได้ฆ่าเจ้าหน้าที่ไปอีกประมาณ2นายเมื่อได้เข้าตรวจค้นในสถานที่เจ้าหน้าที่ก็ได้พบเข้ากับบทกลอนของฝันของบอนนีที่มีความเกี่ยวข้องกับการผจญภัยของทั้งคู่

อีกทั้งยังมาพร้อมกับภาพถ่ายอีกมากมายและเมื่อรูปภาพเหล่านี้ได้ถูกเผยแพร่ออกไปผ่านยังสื่อก็ได้ทำให้ทางด้านสังคมได้เกิดจินตนาการไปไกลถึงความสำพันของคู่รักคู่นี้มันจึงได้ทำให้เกิดข่าวรือและความเชื่อแบบผิดๆตามมาไม่ว่าจะเปฌนเรื่องที่ตัวเขานั้นไปปล้นแต่คนที่รวยและธนาคารในทั้งที่ส่วนใหญ่เหยื่อของพวกเขาก็คือในร้านค้าที่มีขนาดเล็กตามทั่วไปมันจึงได้ทำให้พวกเขานั้นได้กลายมาเป็นฮีโร่ของชาวบ้านในยุคของเศรษฐกิจตกต่ำ

และในช่วงเวลาที่ความโกรธแค้นต่อธนาคารและสถาบันด้านการเงินนั้นยังมีอยู่นั่นเองทางด้านทางการFBIก็ได้ลงในพื้นที่เพื่อทำการสืบสวนและก็ยังได้ข้อมูลและที่อยู่อย่างแน่ขัดแล้วว่าบอนนี และ ไคลด์ ได้อาศัยอยู่ในเขตห่างไกลจากทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของชุมชนดังกล่าวในบ้านของครอบครัวและในเวลาต่อมาทางการก็ยังได้ข้อมูลอีกหนึ่งชิ้นว่าบอนนี และ ไคลด์กับสมาชิกในครอบครัวรวมไปถึงเม็ดวิ้นในบางส่วนต่างก็ได้ร่วมกับจัดงานปาร์ตี้ที่แบ็คแลชในหลุยส์เซียน่าในวันคือที่21พฤษภาคมในปี1934 และในทั้งคู่นั้นประมาณในอีกสองวันก็จะเดินทางกลับมาต่อมาในวันที่23พฤษภาคมในปี1934

ทางการเจ้าหน้าที่ตำรวจจากหลุยส์เซียน่าและในรัฐเท็กซัสรวมไปถึงเจ้าหน้าที่เท็กซัสเขาก็ได้ซุ่มตัวเองอยู่ในพุ่มไม้ริมข้างทางหลวงที่ไกล้กับไซเลซจนในกระทั่งบอนนี และ ไคลลด์ก็ได้มาปรากฏตัวที่รถยนต์ทางการเจ้าหน้าที่ก็ได้วิ่งเข้าไปจับกุลบอนีและไคลด์ในทันทีแต่ในทั้งคู่นั้นต่างก็จะพยายามที่จะหาทางหลบหนีจากทางการเจ้าหน้าที่ที่จะเข้ามาจับกุลตัวบอนนีลไคลด์

จากนั้นทางการเจ้าหน้าที่กได้ทำการที่จะเปิดฉากยิงออกไปจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ทางด้านบอนนีและไคลด์ได้เสียชีวิตลงในทันทีจากนั้นทางด้านคดีของบอนนีและไคลด์ก็ได้สิ้นสุดลงในทันทีที่ได้มีการเปิดฉากยิงเขาทั้งสองทางการเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงไม่มีทางเลือกในระหว่างที่บอนนีและไคลด์กำลังที่จะหลบหนีเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เปิดฉากยิงบอนนีและไคลด์ในทันทีที่เขาทั้งสองคนนั้นกำลังพยายามที่จะหลบหีจากเจ้าหน้าที่ที่จะเข้ามาจับกุมตัวเขาทั้งสอง

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  entaplay