เดือน: มีนาคม 2021

ตำนานเขาคิชกุฎคนหลงป่า

โดยข้อมูลตรงนี้เขาได้บอกเอาไว้ว่าย้อนความกลับไปเมื่อปี2317ได้มีนายพราน3คนที่มีนามว่านายติ่ง นายนำ และ นายปริม ได้ขึ้นเขาคิชกุฎแห่งนี้ไปเพื่อที่จะไปหาของป่ามาทำอาหารเป็นกิจวัตรประจำวันของพวกเขาที่เขาต้องทำกันกันอยู่แล้วแต่ได้มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นายพราน3คนนี้เขาได้ขึ้นเขาไปและพวกเขาได้หลงป่าโดยที่พวกเขางงมากว่าเขาหลงได้ยังไง

เนื่องจากว่าพื้นที่ตรงนี้เขาทำมาหากินเขาเดินออกหาของปหลายปีมากและเขาเป็นคนในพื้นที่ด้วยฉะนั้นแล้วเป็นไปได้ยากมากเลยที่เขาจะหลงป่าพวกนายพรานทั้งสามคนก็เลยลองเดินย้อนกลับไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าเขาเดินไปเดินมาก็กลับมายังจุดเดิมเฉยเลย

ซึ่งตรงนี้เขาก็เริ่มสงสัยแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ตรงนั้นเขาเริ่มเหนื่อยเขาก็ได้เดินพักปรากฏว่าได้มีหนึ่งในสามนายพรานนั้นได้ไปนั่งทบที่รอยพระพุทธบาทที่มีอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วและหนึ่งในนายพรานคนนั้นเขาก็ได้เจอแหวนนาคที่วางอยู่ตรงรอยพระพุทธบาทด้วย

นอกจากนี้ในเวลานั้นเองนายพรานคนนั้นเขาก็ได้เห็นแหวนนาคตรงนี้เขาก็เลยคิดว่าพื้นที่ตรงนี้น่าจะมีสมบัติก็เลยได้ทำการขุดลงไปเรื่อยๆปรากฏว่าสิ่งที่เขาพบเจอนั่นก็คือรอยเท้ามนุษย์ขนาดยักษ์ที่ววางอยู่ตรงน่าเขานั่นเอง ซึ่งตรงนั้นตามข้อมูลเขาได้บอกกเอาไว้ว่า

นายพรานทั้งสามคนนี้เขาไม่มีความรู้เลยว่าสิ่งนี้คือรอยพระพุทธบาทเขาได้แต่เพียงคิดแค่ว่านี่คือรอยเท้ามนุษย์ขนาดยักษ์และด้วยความเชื่อของคน ณ ปัจจุบันตอนนั้นเขาก็เลยคิดว่านี่น่าจะเป็นรอยเท้าของผู้น่าสูงส่งเขาก็เลยได้ทำการกราบไหว้และได้ขอขมาสิ่งที่พวกเขาได้กระทำลงไปไม่ว่าจะเป้นทั้งการหยิบแหวนนาคขึ้นมา

เพื่อที่จะเก็บไปเป็นสมบัติของตัวเองการขุดพื้นที่ตรงนี้นเพื่อที่จะหาสมบัติเพิ่มเติมพวกเขาทั้งสามคนจึงรีบขอขมาตรงนั้นทันทีเพราะเขาคิดว่าพวกเขาได้ทำผิดไปแล้วปรากฏว่าหลังจากที่พวกเขาได้ขอขมาไปนั้นก็เกิดฟ้าผ่าลงมาอย่างแรงในช่วงกลางวันและพวกเขาก็ได้เดินออกจากจุดนั้นมาหลังจากนั้นพวกเขาก็สามารถเดินออกมาจากวงกตเขาที่พวกเขาหลงได้นั่นเอง

ซึ่งตรงนี้ก็ได้เป็นข้อมูลเกี่ยวกับตำนานของเขาคิชกุฎนั่นเองและอีกเรื่องก็คือการพบเปรตของพระโมคคัลลานะและพระพุทธเจ้าที่ยังคงเป็นตำนานอยู่จนถึงทุกวันนี้

 

สนับสนุนโดย.    สล็อตฝากขั้นต่ำ 20 บาท

ความเชื่อที่คนเรามักจะคิดไปเอง

บนโลกของเราใบนี้นั้นมีอะไรหลายๆอย่างที่มักจะทำให้คนเรามีความคิดที่แตกต่างกันไป ซึ่งความคิดแต่ละคนก็ของใครของมัน แต่ความคิดที่มักจะเผยแพร่ออกมาด้วยความรู้ที่ผิดๆ นั้น เมื่อเราได้ยินหรือได้ฟังแล้วก็ควรที่จะต้องนำมาวิเคราะห์กันให้ดีว่าสิ่งที่ฟังมาหรือได้ยินมานั้น เป็นความเชื่อที่เรานำมาเชื่อกันได้หรือเปล่า เช่น

ความเชื่อที่ว่าหากโดนงูกัด ให้ใช้ปากดูดพิษออกไป ซึ่งความเชื่อประเภทนี้มักจะเป็นความเชื่อของคนที่ดูละครกันมักไป เพราะชีวิตเราไม่ใช่ละครนะ หลายๆเรื่องในละครเมื่อมีคนโดนงูกัด จะเห็นว่าคนที่มาช่วยเหลือมักจะเอาปากมาดูดพิษออกจากแผลที่โดนกัน นั่นจึงทำให้หลายคนมักจะเชื่อว่าถ้าเจอคนโดนงูกัดแล้ว หากช่วยด้วยวิธีนี้จะทำให้พิษออกจากร่างกายของคนที่ถูกงูกัด ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว

หากทำวิธีนั้นกันจริงๆ ไอ้คนที่เอาปากไปดูดพิษนี่แหละจะโดนพิษงูเล่นงานแถทน เพราะว่าพิษงูก็จะซึมเข้าปากเราแทน ไปพร้อมกับแบคทีเรียที่อยู่บนปากแผลของคนที่โดนงูกัน ซึ่งวิธีการปฐมพยาบาลในความเป็นจริงแล้วนั้น การที่เราเจอคนที่ถูกงูกันนั้น เราต้องให้ตำแหน่งของอวัยวะที่ถูกงูกัดอยู่ต่ำกว่าหัวใจ เช่นหากงูกันบริเวณมือก็ทำให้มือห้อยลงต่ำ จากนั้นก็รีบส่งโรงพยาบาลทันที

ความเชื่อที่ห้ามปลุกคนเดินละเมอให้ตื่น ซึ่งเป็นความเชื่อของคนโบราณว่าหากมีการปลุกคนให้ตื่นต้องที่เดินละเมอแล้วนั้น จะทำให้วิญญาณออกจากร่าง ซึ่งเรื่องนี้เป็นความเชื่อที่ผิดๆ หรือบางทีก็คิดกันไปว่า หากปลุกคนเดินละเมอก็จะทำให้หัวใจวาย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนั้น ทางวิทยาศาสตร์ได้กล่าวว่า การปลุกให้คนที่นอนเดินละเมอนั้น เป็นสิ่งที่ควรกระทำเพราะเราไม่รู้ว่าเค้าอาจจะเดินไปชนของอะไรได้รับบาดเจ็บ แถมยังไม่ได้เป็นการทำให้เค้าเป็นอันตรายใดๆ อีกด้วย

ความเชื่อที่ว่าห้ามถอนผมหงอก เพราะยิ่งถอนนั้นหงอกก็จะยิ่งขึ้น แปลกแต่จริงที่คนเรามีความเชื่อนี้ขึ้นมา ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนั้นมันไม่มีทางเป็นไปได้เลย เนื่องจากว่ารากเส้นผมของเราหนึ่งรากนั้น มันขึ้นได้เพียงแค่หนึ่งเส้นต่อหนึ่งรากเท่านั้น เรียกว่ารากใครก็รากมัน ไม่ว่าคุณจะถอนคุณจะตัดขนหงอกของคุณบ่อยแค่ไหนก็ตาม มันก็ไม่ทำให้หงอกขึ้นมากกว่านี้หรอก เพราะสาเหตุที่มีผมหงอกหรือขนหงอก มันเกิดจากความเครียด พันธุกรรม หรือตัวยาบางชนิดที่คนเรารับประทานเข้าไป

 

สนับสนุนโดย    แทงหวยฮานอย

ประวัติของพระพุทธเจ้าหลังจากที่มีการออกบวชแล้ว

          ส่วนใหญ่แล้วเราจะศึกษาประวัติความเป็นมาของพระพุทธเจ้าช่วงที่พระพุทธเจ้านั้นมีการเกิดและมีการออกบวชแต่เราไม่ค่อยศึกษาหาความรู้ช่วงที่พระองค์นั้นจะต้องมานะบากบั่นหาหนทางแห่งความพ้นทุกข์ให้ได้ว่าพระองค์นั้นต้องไปเจอกับเรื่องราวอะไรบ้างกว่าที่พระพุทธเจ้าจะสามารถพ้นทุกข์และสามารถนำเรื่องราวเหล่านั้นมาเผยแพร่ให้กับประชาชนเพื่อที่จะได้พ้นทุกข์ตามพระองค์ได้ดังนั้นวันนี้บทความนี้จะพูดถึงเรื่องของการที่พระองค์นั้นต้องไปเผชิญกับเรื่องราวต่างๆมากมายหลังจากที่พระองค์ออกบวชแล้วจนท้ายที่สุดแล้วพระองค์ก็สามารถที่จะบำเพ็ญเพียรและสามารถค้นพบได้ในที่สุดนั่นเอง

           หลังจากที่พระพุทธเจ้านั้นได้มีการออกบวชเป็นที่เรียบร้อยแล้วพระองค์ก็ไปตามสำนักต่างๆซึ่งเป็นสำนักที่เน้นในเรื่องของการถือศีลเกี่ยวกับเรื่องของการบวชโดยพระองค์ไปถึง 2 สำนักด้วยกันซึ่งสำนักงานนั้นพระองค์ไปศึกษาหาความรู้ที่สำนักอาฬารดาบสหลังจากที่ศึกษาหาความรู้เล็งเห็นแล้วว่าที่นี่ไม่สามารถที่จะทำให้พระองค์นั้นพ้นทุกข์ได้พระองค์ก็เดินทางไปที่สำนักอุทกดาบส

ซึ่งแน่นอนว่าที่นี่ก็ไม่สามารถทำให้พระองค์นั้นรู้สึกถึงการพ้นทุกข์ได้เช่นเดียวกันเมื่อพระองค์เล็งเห็นแล้วว่าทั้ง 2 สำนักนี้ไม่สามารถช่วยทำให้พระองค์นั้นหมดสิ้นของการพ้นทุกข์ได้พระองค์จึงได้ขนขวายด้วยตัวของพระองค์เอง

        โดยในขณะนั้นพระองค์ได้เดินทางไปที่แม่น้ำเนรัญชราหลังจากนั้นพระองค์ก็ไปทำการนั่งวิปัสสนาบำเพ็ญกรรมฐานซึ่งขั้นตอนของการวิปัสสนาของพระองค์นั้นเป็นการลองผิดลองถูกโดยครั้งแรกนั้นพระองค์ทั้งการหายใจและพระองค์ก็ยังทรงอดอาหารอีกด้วยและยังมีการทดลองการขบฟันโดยฟันซึ่งวิธีการที่พองทดลองนี้พระองค์ลองทำมานานถึง 6 ปีด้วยกันจนร่างกายของพระองค์นั้นซูบผอมไม่มีเรี่ยวไม่มีแรงจนในที่สุดพระองค์ก็เห็นแล้วว่าสิ่งที่พระองค์ทดลองทำนั้นมันไม่ได้ผลซึ่งมันไม่ใช่หนทางที่จะทำให้พระองค์นั้นพ้นทุกข์ได้เลยดังนั้นพระองค์ก็เลยเลิกทรมานตนเอง

       และเมื่อพระองค์เลิกทรมานตนเองพร้อมก็หันกลับมากินตามปกติ แต่สิ่งที่ทำให้พระองค์นั้น สามารถดูแจ้งได้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้ไม่สามารถทำให้ตัวเองทุกด้านก็เพราะว่าพระองค์ได้ยินเสียงของการดีดพิณซึ่งเป็นท้าวสักกะเทวราชลงมาดีดพิณให้กับพระองค์ฟังพระพุทธเจ้าเมื่อได้ยินเสียงของการดีดพิณแบ่งออกเป็น 3 ช่วงช่วงแรกก็คือการที่มีการดึงสายพิณนั้นตึงจนเกินไปเมื่อดีดไปปุ๊บสายพิณก็ขาดแต่หลังจากนั้นเมื่อสายพิณขาดก็มีการขยายพันธุ์ใหม่โดยสายพิณที่ 2 นี้มีการทำไว้หย่อนยานจนเกินไปเมื่อดีดพิณแล้วทำให้ไม่มีเสียงไพเราะออกมาเลยเพราะสายพิณสัญญาณแต่พอสายเส้นที่ 3 นั้น

เป็นการดึงพี่พอดีเวลาที่ดีดพิณก็จะทำให้ได้ยินเสียงไพเราะดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้มีการเอาวิธีการขึงสายพิณนี้เองมาช่วยในการหาแนวทางในการทำให้ตนเองพ้นทุกข์นั่นก็คือพระองค์นั้นที่จะเดินทางสายกลางโดยพระองค์เจ้าไม่เน้นที่จะทรมานตัวเองมากเกินไปและก็ไม่หย่อนยานในกฎระเบียบมากจนเกินไปนั่นเองซึ่งท้ายที่สุดแล้วพระองค์ก็สามารถบรรลุบำเพ็ญเพียรกิริยาของพระองค์ได้จากการที่พระองค์นั้นได้ฟังเสียงสายพิณทั้งสามสายนี้เอง

 

สนับสนุนโดย  aecasino