ป้ายกำกับ: ประวัติศาสตร์

ข้อห้ามในต่างประเทศ

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบท่องเที่ยวในต่างประเทศแล้วละก็คุณนั้นจะรู้ว่านอกจากภาษาและวัฒนธรรมและชีวิตความเป็นอยู่ที่มันได้ต่างไปจากบ้านเราแล้วยังมีกฏหมายที่เป็นข้อห้ามทางสังคมที่ได้ยึดถือและปฏิบัติด้วยกันมาแม้ว่าบางอย่างนั้นมันอาจจะดูแปลกไปซักหน่อยแต่ก็ยังมีเหตุผลแฝงอยู่เสมอดังนั้นถ้าไม่อย่างเชยละก็อย่าลืมจำนำเอาไปใช้กันด้วยละ

ห้ามซื้อขายหมากฝรั่งในประเทศสิงคโปร์

เมื่อคุณไปเที่ยวที่ประเทศสิงค์โปรซึ่งได้เป็นประเทศที่ขึ้นชื่อว่าสะอาดและเป็นระเบียบที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเนื่องจากมีกฎหมายห้ามมิให้นำเข้าและซื้อขายหมากฝรั่งในประเทศที่เหมือนกับอย่างที่บ้านของเรายกเว้นในกรณีที่จะต้องมีใบรับรองแพทย์มายืนยันเท่านั้นและกฎหมายข้อนี้ได้ถูกให้ใช้โดยนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ตั้งแต่ปี1980และได้รับการอนุมัติและได้มีการเริ่มใช้กันอย่างจริงจังในปี1992

เนื่องจากชาวสิงค์โปร์และนักท่องเที่ยวได้มีการกินหมากฝรั่งและได้มีการทิ้งเอาไว้ที่สาธารณะอย่างเช่น ถนน รถไฟ ลิฟ หรือแม้กระทั่งรถบัส จึงต้องทำให้ทางรัฐบาลต้องสิ้นเปลืองงบประมาณอย่างมหาสารในการจ้างคนมาทำความสะอาดพื้นที่ดังกล่าวและสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามายังประเทศสามารที่จะนำหมากฝรั่งเข้ามาได้เพียงแค่สองห่อเท่านั้น

หากใครที่ได้นำเอาเข้ามามากกว่าที่ได้กำหนดในครั้งแรกจะถูกปรับสองหมื่นสามพันกว่าสบาทหากได้มีในครั้งต่อไปจะถูกดำเนินอคดีจำคุกหนึ่งปีและถูกปรับประมาณหนึ่งแสนสองหมื่นแปดพันรวมทั้งยังได้บังคับให้ทำความสะอาดภายในพื้นที่เพื่อเป็นการลงโทษให้สำนึกอีกด้วย

ห้ามเยียบเงินในประเทศไทย

ข้อนี่คนไทยต่างก็รู้ข้อห้ามนี้ก็เป็นอย่างดีแต่สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่จะเข้ามาท่องเที่ยวก็จะต้องศึกษาข้อนี้เอาไว้ให้ดีกันเลย เนื่องจากการกระทำดังกล่างได้เป็นความผิดทางด้านอาญาและถ้าหากไปเผลอกระทำเข้าละก็ แทนที่คุณนั้นจะได้ท่องเที่ยวอย่างที่ได้มีการวางแผนเอาไว้คุณอาจจะได้เข้าไปอยู่ในคุกของประเทศไทยก็เป็นได้แม้ว่าในหลายประเทศจะไม่มีข้อห้ามดังกล่าวแต่สำหรับคนไทยเราถือว่าเงินที่เรานั้นได้ใช้กันอยู่ไม่ว่าจะเป็นธนบัตรหรือเหรียญกษัตริย์นั้น

เป็นส่วนหนึ่งของเอกสารทางราชการโดยปรากฏพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งได้เป็นที่เคารพเบี้ยงสูงของคนไทยอยู่ในนั้น ดังนั้นเงินจึงถือว่าเป็นของสูงไม่ควรเหยียบหรือว่าข้ามเป็นอันขาดนอกจากเงินแล้วยังรวมถึงสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆเช่นหนังสือพิมพ์นิตยสารปฏิทินหรือยังรวมไปถึงสื่ออื่นๆที่ได้มีปรากฏพระบรมฉายาลักษณ์อีกด้วยเช่นกันหากคุณพบเห็นเงินที่ตกอยู่ตามสถานที่ต่างๆก็ควรเก็บขึ้นมาให้พ้นจากพื้นดีกว่าและก็อย่าลืมนำเอาเงินไปคืนเจ้าของเขาได้นะ

เรื่องราวของหลวงปู่กับเครืออาถรรพ์

มีความเชื่อว่าต้นเครือเขาหลงนั้นมันจะมีอยู่มากในป่าดงดิบตรงบริเวณที่มันได้ด้านทางเข้าของเมืองลับแล สำหรับในคดีตนั้นใครที่มีอาคมเก่ากล้าก็มักจะใช้ต้นเครือเขาหลงชนิดนี้เป็นม้วลสารที่ใช้สำหรับการสร้างวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่จะมีอนุภาพทางด้านเมตตามหานิยมเสน่ห์หาจึงได้ทำให้ผูคนที่ต้องมนต์นั้นต่างก็ได้มีความหลงไหลเป็นอย่างมากในตัวของผู้ที่ได้มาครอบครอง

เนื่องจากนี้ยังได้นำเอาไปมัดติดกับที่ด้านเสาประตูคอกวัวเพื่อจะทำให้โจนนั้นที่จะเข้ามาลักขโมยวัวหลงทางและจะหาทางออกไปเจอ เนื่องจากนี้เหล่าด้านร้านขายของต่างๆ ต่างก็นำได้เอาวัตถุมนคลที่ได้มีวัตถุของเครือเขาหลงปนอยู่หานำเอามาบูชา เพราะได้เชื่อกันว่าจะทำให้เหล่าลูกค้านั้นหลงไหลและจะต้องมาซื้อของที่ร้านเขาเป็นประจำ

โดยส่วนมากแล้วมักจะเลือกเอาเครือเขาหลงในวันอังคารเพราะเชื่อว่าฤทธิ์ของมันนั้นจะแรงกว่าวันอื่นๆ และก่อนใช้วานดังกล่าวจะมีคาถาเพิ่มให้กับเครือเขาหลงจากคำบอกเล่าจาก หลวงปู่พรหม นรินโทได้พูดถึงเรื่องด้านประสบการณ์ที่จะต้องตกอยู่กับอาถรรพ์ของเครือเขาหลงในครั้งหนึ่งว่าในครั้งนั้น ท่านได้เดินไปธุดงค์ไปยังป่าดงดิบแห่งหนึ่งเพื่อเจริญภาวนา

ในตอนแรกนั้นท่านก็ได้รู้สึกแปลกๆกับพื้นป่าแห่งนี้แค่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักท่านก็ยังได้ทำหน้าที่ของสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไป แต่เวลาผ่านไปสองคืนสองวันท่านกลับพบว่าตนเองได้เดินวนเวียนอยู่บริเวณที่เดิมจนกระทั่งเลยเวลามาถึงตอนเที่ยงของวันที่สาม ท่านได้รู้สึกเหนื่อยล้าท่านจึงได้นั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง

ในขณะที่ท่านได้นั่งบําเพ็ญภาวนาอยู่นั้นปรากฏว่าได้มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งมาร้องเรียก หลวงปู่ หลวงปู่ พอลืมตาขึ้นท่านก็ได้เห็นหญิงสาวแต่งตัวอยู่ในชุดไทย ซึ่งก็ได้แปลกใจแล้วว่าผู้หญิงตนนี้มาอยู่ในป่าได้อย่างไรท่านจึงได้ถามออกไปว่าเป็นผู้หญิงมาอยู่ในป่าคนเดียวได้อย่างไรไม่กลัวผีซางนางไม้ หรือสัตว์ร้ายหรืออย่างไร หญิงสาวเลยตอบว่าไม่กลัวหรอกเพราะเป็นเทพรักษาที่ป่าแห่งนี้ใครจะเข้าจะออกป่าใครทำดีหรือทำชั่วรู้หมดนอกจากนั้นนางยังได้เล่าว่าที่ผ่านมาได้มีคนเข้ามาบุกรุกป่าเป็นจำนวนมาก

ในบางทีนางก็ได้แก้งทำให้ต้นไม้นั้นล้มใส่จนตายก็มีและนอกจากนี้นางก็ได้ถามต่ออีกว่า หลวงปู่นั้นได้เข้ามาที่ป่าแห่งนี้ทำไม หลวงปู่ตอบว่าหลวงปู่เข้ามาแสวงธรรมหลวงปู่ได้ตอบทั้งที่ผู้หญิงดังกล่าวรู้ความเป็นมาของเรื่องราวทั้งหมดอยู่แล้ว

ข้อเรื่องที่เกี่ยวกับนายคิมจองอึน

คุณคงรู้จักคิมจองอิลที่เป็นผู้นำสูงสุดของประเทศเกาหลีเหนือที่เรานั้นมักจะเห็นเขาในรูปแบบของสื่อต่างๆและในวันนี้เราจะพาคุณมาพบกับเรื่องจริงของคิมจองอิลที่คุณอาจไม่เคยรู้

ประวัติโดยสังเขป 

คิมจองอึนนั้นคือลูกชายผู้สืบสายเลือดมาจากอดีตของผู้นำสูงสุดอย่างนายคิมจองอิลเขาได้เกิดในวันที่8มกราคม ปีเกิดของเขานั้นเป็นอะไรที่ค่อนข้างคลุมเครือโดยจะมีการคาดการเอาไว้ว่าเขาน่าจะเกิดในช่วงปี1982ไปถึงปี1984เขามีพี่น้องทั้งหมด3คนและแม้ว่าตัวเขาจะมีพี่ชายแต่ ซึ่งที่ทำให้คิมจองอึนเป็นตัวเต็งที่จะสืบต่อจากพ่อก็เป็นเพราะลูกชายคนโตนั้น

ได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตกมากเกินไปถึงขนาดเสนอให้เปิดประเทศ ซึ่งเป็รสิ่งที่ผู้เป็นพ่อนั้นรับไม่ได้นั่นจึงทำให้คิมจองอึนนั้นจึงมีความเหมาะสมมากกว่าจากนั้นนายคิมจองอิลผู้เป็นพ่อก็เสียชีวิตลงและก็ได้มีการประกาสแต่งตั้งให้นายคิมจองอึนได้เป็นผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือตั้งแต่ในช่วงปลายปี2011เป็นต้นมาและยังคงเป็นสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ชีวิตในวัยเรียน

หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าในช่วงของวัยเรียนของผู้นี้เขาได้เข้าศึกษาที่lnternational School of Berneที่อยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในช่วงราวๆปี1998ไปจนถึงปี2000โดยที่ในเวลาต่อมาด้านสืบต่างๆก็ได้มีโอกาสได้เข้าไปสัมภาษณ์เพื่อนร่วมชั้นของคิมจองอึนว่าในตอนนั้นตัวเขาเป็นอย่างไร ซึ่งพวกเขาได้กล่าวว่าคิมจองอึนในเวลานั้นไม่ได้เปิดเผยสถานของตัวเองเอาบอกว่าเขาเป็นลูกชายจากทูตของเกาหลีเหนือ

โดยมีการใช้ชื่อว่า พัค อึน เขาเป็นเพื่อนที่ดีเป็นคนสนุกสนานมีอารมณ์ขันเขาแถบจะไม่แสดงออกในเรื่องของการเมืองเลยแต่ก็มีลักษณะนิสัยอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือตัวเขานั้นได้เป็นคนที่เกียรความพ่ายแพ้และเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับชัยชนะ ซึ่งนอกเหนือจากนี้คอมจองอึนนั้นได้ชื่นชอบในกีฬาบาสเกตบอลมากเป็นพิเศษ

คิมจองอึนกับนักบาส

อย่างที่ได้มีการกล่าวมาแล้วว่าคิมจองอึนนั้นได้ชื่นชอบกีฬาบาสเกตบอลมากเป็นพิเศษถึงขณะได้เป็นเพื่อนกับนักบอสโดยในปีประนมาณ2014นั้นด้านตัวเขาและนักกีฬาDennis Rodmanได้พบกันที่กรุงเปียงยางพวกเขาได้นั่งชมการแข่งขันบอสระหว่างสหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือด้วยกันมีการพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ซึ่งทางDennis Rodmanก็ได้เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่าเอานั้นได้เจอกับนายคิมจองอึนกันอย่างได้

ไกล้ชิดกันมากๆพวกเขาสามารถพูดคุยในเรื่องต่างได้มากมายแต่นั้นก็ไม่ได้มีการเมืองการทหารเข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใดและตัวเขายังได้กล่าวอีกว่าคิมจองอึนนั้นไม่ได้เป็นคนที่เลวร้ายอะไรอย่างที่ผู้คนนั้นคิดกันนอกจากทั้งสองคนที่ก็ยังมีโอกาสที่ได้พบเจอกันบ้างอยู่บ่อยครั้งและเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเรื่อยมา

คดีที่ทำให้ทางการFBIสะเทือนใจ

บอนนี และไคลด์ คู่แท้จอมโจร

บอนนี และ ไคลด์ ได้โด่งดังขึ้นมาในหลังเดือนมีนาคมในปี1933 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าบุกในพื้นที่กบดานของชาวแก๊งของเขาได้ ซึ่งโดยทั้งคู่นั้นได้สามารถหลบหนีออกไปได้พร้อมกับได้ฆ่าเจ้าหน้าที่ไปอีกประมาณ2นายเมื่อได้เข้าตรวจค้นในสถานที่เจ้าหน้าที่ก็ได้พบเข้ากับบทกลอนของฝันของบอนนีที่มีความเกี่ยวข้องกับการผจญภัยของทั้งคู่

อีกทั้งยังมาพร้อมกับภาพถ่ายอีกมากมายและเมื่อรูปภาพเหล่านี้ได้ถูกเผยแพร่ออกไปผ่านยังสื่อก็ได้ทำให้ทางด้านสังคมได้เกิดจินตนาการไปไกลถึงความสำพันของคู่รักคู่นี้มันจึงได้ทำให้เกิดข่าวรือและความเชื่อแบบผิดๆตามมาไม่ว่าจะเปฌนเรื่องที่ตัวเขานั้นไปปล้นแต่คนที่รวยและธนาคารในทั้งที่ส่วนใหญ่เหยื่อของพวกเขาก็คือในร้านค้าที่มีขนาดเล็กตามทั่วไปมันจึงได้ทำให้พวกเขานั้นได้กลายมาเป็นฮีโร่ของชาวบ้านในยุคของเศรษฐกิจตกต่ำ

และในช่วงเวลาที่ความโกรธแค้นต่อธนาคารและสถาบันด้านการเงินนั้นยังมีอยู่นั่นเองทางด้านทางการFBIก็ได้ลงในพื้นที่เพื่อทำการสืบสวนและก็ยังได้ข้อมูลและที่อยู่อย่างแน่ขัดแล้วว่าบอนนี และ ไคลด์ ได้อาศัยอยู่ในเขตห่างไกลจากทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของชุมชนดังกล่าวในบ้านของครอบครัวและในเวลาต่อมาทางการก็ยังได้ข้อมูลอีกหนึ่งชิ้นว่าบอนนี และ ไคลด์กับสมาชิกในครอบครัวรวมไปถึงเม็ดวิ้นในบางส่วนต่างก็ได้ร่วมกับจัดงานปาร์ตี้ที่แบ็คแลชในหลุยส์เซียน่าในวันคือที่21พฤษภาคมในปี1934 และในทั้งคู่นั้นประมาณในอีกสองวันก็จะเดินทางกลับมาต่อมาในวันที่23พฤษภาคมในปี1934

ทางการเจ้าหน้าที่ตำรวจจากหลุยส์เซียน่าและในรัฐเท็กซัสรวมไปถึงเจ้าหน้าที่เท็กซัสเขาก็ได้ซุ่มตัวเองอยู่ในพุ่มไม้ริมข้างทางหลวงที่ไกล้กับไซเลซจนในกระทั่งบอนนี และ ไคลลด์ก็ได้มาปรากฏตัวที่รถยนต์ทางการเจ้าหน้าที่ก็ได้วิ่งเข้าไปจับกุลบอนีและไคลด์ในทันทีแต่ในทั้งคู่นั้นต่างก็จะพยายามที่จะหาทางหลบหนีจากทางการเจ้าหน้าที่ที่จะเข้ามาจับกุลตัวบอนนีลไคลด์

จากนั้นทางการเจ้าหน้าที่กได้ทำการที่จะเปิดฉากยิงออกไปจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ทางด้านบอนนีและไคลด์ได้เสียชีวิตลงในทันทีจากนั้นทางด้านคดีของบอนนีและไคลด์ก็ได้สิ้นสุดลงในทันทีที่ได้มีการเปิดฉากยิงเขาทั้งสองทางการเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงไม่มีทางเลือกในระหว่างที่บอนนีและไคลด์กำลังที่จะหลบหนีเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เปิดฉากยิงบอนนีและไคลด์ในทันทีที่เขาทั้งสองคนนั้นกำลังพยายามที่จะหลบหีจากเจ้าหน้าที่ที่จะเข้ามาจับกุมตัวเขาทั้งสอง

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  entaplay

2ผู้นำประเทศที่มีความคลั่งอำนาจเห็นแก่ตัวมากเกินไป

ซาปาร์มูรัต นิยาซอฟ (เติร์กเมนิสถาน)

ซาปาร์มูรัต นิยาซอฟผู้นำที่สุดแสนจะหลงตัวเองแห่งเติร์กเมนิสถานผู้ประกาสตนหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตเมื่อปี1991ว่าเขาจะปกครองประเทศนี้ตลอดไปเขาคือผู้ที่เปลี่ยนเติร์กเมนิสถานให้กลายเป็นดินแดนส่วนตัวของตัวเองโดยการตั้งชื่อแลนด์มาร์คที่สำคัญของประเทศถนนหรือแม้แต่สวนสาธารณะเพื่อให้เกียรติสรรเสริญตนเองอีกทั้งยังได้เปลี่ยนชื่อเรียกเดือนเมษายนให้เป็นชื่อมารดาของเขาด้วยนับตั้งแต่ขึ้นปกครองประเทศจนกระทั่งหมดวาระเมื่อเขาได้เสียชีวิตลง นิยาซอฟ ก็ได้ตั้งข้อบังคับแปลกๆขึ้นมาหลายอย่างเพื่อที่บังคับใช้กับปชากรราวๆกว่า5ล้านคนที่จำต้องอยู่ในกรอบนั้นอย่างที่ไม่มีทางเลือก

ไม่ว่าจะเป็นบังคับให้นาฬิกาทุกเรือนจะต้องมีรูปของตัวเองอยู่บนหน้าปัดทำวอดก้าแบรนด์ของตัวเองที่มีรูปของตนเป็นโลโก้ให้เด็กๆเคี่ยวกระดูกเพื่อฟันที่แข็งแรงแทนที่จะส่งเสริมในทางที่เหมาะสมสั่งปิดห้องสมุดของชุมชนเพื่อขักขวางแสวงหาความรู้ของผู้ที่อ่านออกเขียนได้สั่งห้ามให้ผู้ชายไว้หนวดหรือไว้หนวดเคาห้ามมีวิทยุฟังในรถห้ามร้องและบรรทึกเพลงและสิ่งที่ได้แสดงถือความหลงตัวเองอย่างสุดๆก็คือ การสั่งให้ตั้งชื่ออุกกาบาตขนาด300กิโลกรัมที่ได้พุ่งตกลงมาในเขตเติร์กเมนิสถาน1998ว่าเพื่อเป็นการแสดงอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของตัวเองด้วย

คิมจองอิล ( เกาหลีเหนือ )

คิมจองอิลอดีตผู้นำสูงสุดของเกาหลีดหนือซึ่งก็ได้จากโลกนี้ไปเมื่อในปี2011ที่พึ่งผ่านม่ามกลางประกาสที่จะดูเหมือนกับว่าประชาชนของเกาหลีเหนือก็กำลังตกอยู่ในความเศร้าอาลัยอย่างแสนสาหัสถึงกับต้องมารวมตัวกันเพื่อร้องไห้กับผู้ที่ได้เสียชีวิตไปแล้วแต่ในหลายๆคนก็ได้วิเคราะห์กันไปว่าในการที่ประชาชนนั้นได้ร้องไห้เพีงเพราะแสดงความหวาดกลัวประชาชนชาวเกาหลีเหนือก็ได้ถูกให้มาแสดงอาการโสกเศร้าเพื่อให้สื่อต่างประเทศได้เห็นหากใครที่ไม่แสดงความอาลับอาวอนให้สมทบบาทประชาชนผู้นั้นและครอบครัวก็จะถูกลงโทษเกาหลีเหนือก็ได้กลายเป็นดินแดนที่ไร้เสรีภาพในด้านสื่อศาสนาการศึกษา

และแน่นอนที่สุดก็คือว่าในด้านของการเมืองในยุคของคิมจองอิลก็ได้มีการจับนักโทษการเมืองกว่า200,000ราย จับจริงจากนั้นก็ได้ลงโทษกันอย่างจริงจังจนทำให้ชาวบ้านนั้นต่างหวาดกลัวในการแข็งข้อไม่ว่าจะเป็นการบังคับกดขี่มากซักเพียงใดก็ตามถึงแม้ว่าในความเป็นอยู่ของประชาชนจะต้องอดยากอย่างลำบากเหลือใจแต่ทางด้านผู้นำของประเทศกลับได้ใช้ชีวิตในทางตรงกันข้ามคิมจองอิลได้มีชีวิตที่กินดีอยู่ดีมีห้องใต้ดินที่เก็บวายชั้นเลิศเอาไว้เป็นพันๆขวดมีเที่ยวบินตรงจากญี่ปุ่นเพื่อเสริฟชูชิอย่างดีให้กับผู้นำและเขาก็ได้ใช้เงินมากกว่า 20ดอลลาร์

 

สนับสนุนโดย  next88

เส้นทางการไปพบภาพเขียนของผาแต้ม

ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข24เป็นหนึ่งทางหลวงสายประทานของภาคตะวันออกเฉียงเหนือยที่แยกตัวออกมาจากหมายเลขหลักหมายเลข2หรือถนนมิตรภาพโดยเริ่มจากทางแยกต่างระดับสีคิ้วเขตจังหวัดนครราชสีมาตัดผ่านอีกหลายจังหวัดก่อนที่จะเข้าไปสิ้นสุดที่เขตอำเภอเมืองอุบลราชธานีรวมระยะทางทั้งสิ้นประมาณ420กิโลเมตรทางหลวงในประเทศไทยในปัจจุบันยังใช้ตัวเลขจำกัดเพื่อบ่งบอกถึงความสำคัญในลักษณะการเชื่อมต่อภูมิภาคเช่นทางหลวงที่มีตัวเลขตัวเดียวจะหมายถึงทางหลวงหลักที่เริ่มจากกรุงเทพมหานคร

ตัดเชื่อมต่อไปยังประเทศหลักของประเทศเช่นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข1หรือถนนพหลโยธินจะไปสิ้นสุดที่จุดเหนือสุดของประเทศที่อำเภอแม่สายจังหวัดเชียงรายสำหรับทางหลวงที่มีตัวเลขจำนวนสอหลักจะหมายถึงทางประทานตามภาคต่างๆที่ได้ต่อเชื่อมจากทางหลวงหมายเลขตัวเดียว

เพื่อสร้างโครงข่ายคมนาคมทาบกให้ครอบคุมพื้นที่ได้อย่างเหมาะสมด้วย

สถานะทางหลวงสายประทานของอีสานใต้จึงทำให้ถนนหลวงหมายเลข24ได้กลายเป็นหนึ่งในเส้นทางหลักสำหรับในการเดินทางและขนส่งทางด้ารสินค้าที่มันสามารถเชื่อมต่อไปไกลถึงชายแดนแต่เรื่องราวเหล่านนี้ที่เราจะนำมาแนะเสนอที่เกี่ยวกับถนนเส้นนี้ไม่ใช่เรื่องของเศรษฐกิจหรือการคมนาคมใดๆแต่เราจะพาคุณไปเยี่ยมชอปราสาทศึกษาหินในหลายๆแห่งที่พบอยู่รายทางสองฝั่งถนนซึ่งปราสาทในแต่ละแห่งลวนมีเกล็ดสาระทางประวัติสาทหรือตำนานที่น่าสนใจจากอายุที่ยืนยาวนับพันปีจากนั้นเราจะพามาชอบเรื่องราวที่ได้มีนักศึกษาโบราณคดีได้มีการค้นพบภาพเขียนสี

ภาพเขียนสีที่ภพมีอายุไม่ต่ำกว่า3,000 4,000ปีโดยมีการค้บพบภาพเขียนสีอยู่หลายกลุ่มกระจายอยู่ตามแนวหน้าผาคือกลุ่มผาขาม กลุ่มผาแต้ม กลุ่มผาหมอน และ กลุ่มผาหมอนน้อย โดยส่วนใหญ่จะบอกเหล่าถึงวิธีชีวิตของคนในยุคนั้นซึ่งได้เป็นสังคมของเกษตรกรรมภาพเขียนนั้นบ่งบอกให้เห็นถึงการล่าสัตว์เครื่องมือเครื่องใช้มีภาพคนสัตว์รอยประทับมือและสัญลักษณ์บางอย่างที่นักโบราณคดีได้วิเคราะห์ว่ามันน่าจะสะท่อนถึงการปลูกข้าวในบรรดาภาพที่ได้พบทั้งหมด กลุ่มภาพเขียนสีผาแต้มเป็นกลุ่มภาพที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือมีภาพเขียนมากกว่า300ภาพ

เป็นภาพคนภาพสัตว์เครื่องมือในการจับปลาและลวดลายเลขาคณิตเรียงรายกันเป็นแนวยาวราวประมาณ180เมตรซึ่งถือได้ว่าเป็นกลุ่มภาพเขียนสีที่ยาวที่สุดในประเทศการที่ได้มาเที่ยวที่ผาแต้มนอกจากจะได้ชื่นชมความงามของศิลปะยุคก่อนประวัติศาสตร์สภาพทางธรณีวิทยาของผาแต้มก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่หน้าสนใจไม่แพ้กันผาแต้มเป็นผาหินทรายที่อยู่ในหมวดหินภูพานอายุประมาณ130ปีหน้าผาเกิดการยุบตัวที่ลาบสูงของโคราชและยังเกิดรอยแตกรอยเลื่อนเป็นช่องทางน้ำไหลซึ่งได้พัฒนากลายมาเป็นมาน้ำโขง

การสำรวจปราสาทหลังที่2ของพระศิวะ

รูปสลักนี้มันใหญ่โตและมีความหน้าทึ่งขนาดไหนในสายตาของคนที่เดินเข้าปราสาทมันได้ต่างจากรูปสลักเทพสตรีสองรูปที่มีขนาดเท่ากับมนุษย์แต่เทพองค์กลางจะมีขนาดที่ใหญ่กว่าสองเท่ารูปสลักในท่าใหญ่มหึมามันเป็นสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ในทางโบราณคดีของขอมโบราณนั้นเองเมื่อได้มีการประกอบเสร็จมันจึงกลายเป็นรูปที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เมืองพระนคร

สำหรับรูปปั้นนั้นมีความสูงประมาณ5.6เมตรมี10กลอนและ5เศรียอาจจะทาด้วยสีแดงอาจทำให้น่าประทับใจมากขึ้นไปอีกในปราสาทรอบพระศิวะมีพระแม่อุมาชายาผู้ใจดีและมือกลองอีกสองคนและพระแม่กาลีชายาผู้โหดร้ายถือกระโหลกและขามนุษย์ปราสาททางเข้าสู่เทวาลัยนี้เป็นทางผ่านไปสู่ชีวิตหลังความตายจากนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้น

เมื่อได้เดินผ่าประตูนี้ไปและคราวนี้นักประวัติศาสตร์ทางโบราณคดีจะศึกษาปราสาทหลังต่อไปที่จะก้าวผ่าไปสู่เทวาลัยตรงกลางได้พวกทีมงานก็ได้เก็บชิ้นส่วนรูปสลัก8รูปที่เคยได้ตั้งอยู่ที่นั่นไปแล้วจากนั้นพวกเขาก็จะค้นหาว่ารูปสลักเหล่านี้เป็นใครบ้างเพื่อที่จะทำความเข้าใจรูปสลักที่นั่นได้ถูกปล้นไปหมดพวกเขาไปถูกทุบแตกเพื่อที่จะได้ขนมันออกไปได้ส่วนของฐานนั้นล้มพังทั้งหมดและมีเพียงเศษรูปสลักที่ยังหลงเหลืออยู่เพียงเท่านั้นนักโบราณคดีได้คุ้นเคยกับรูปสลัก4รูปจากทั้งหมด8รูปและที่พิพิธภัณฑ์กรุงพนมเปญมีการแสดงส่วนลำตัวคนค่อมจากปราสาทและมีเศรียแกะสลักอีกสองเศียร

แต่ตอนนี้ยังไม่มีเบาะแสว่าพวกเขานั้นเป็นใครปราสาทหลังที่2นี้

มันยังคงเป็นปริศนาอยู่และมันก็จะยังคงเป็นปริศนาไปตลอดกาลและมีท่านหนึ่งที่เป็นนักสำรวจไม่ได้ไปที่เกาะแกและวาดรูปแกะสลักก่อนที่มันจะหายไปซึ่งมีภาพวาดของนักโบราณคดีท่านหนึ่งที่น่าสนใจมากซึ่งมันก็อาจจะดูยากหน่อยแต่ก็มันทำให้เราเห็นภาพของสถานที่นี้ตอนที่เขานั้นได้ค้นพบมาเมื่อปี่1885รูปสลักนี้ยังอยู่หลังจากที่ได้มีการขุดค้นทีละชั้นและของทุกอย่างก็ยังอยู่ที่เดิมไม่มีอะไรล้มและมีแค่เศรียที่มันยังหายไปบ้างและมีรูปสลักรูปหนึ่งที่ทำให้เกิดคำถามเป็นรูปสลักที่ไร้เศียรขี่สัตว์จนมาถึงตอนนี้นักโบราณคดีเชื่อว่าสัตว์นี้เป็นวัวพาหนะพระศิวะและเอริคก็จะพิสูจน์ให้เห็นว่ามันไม่ใช่ระหว่างที่ขุดค้นเขาก็ได้พบกับชิ้นส่วนที่นำมาต่อกับหัวสัตว์ทันทีซึ่งได้นำเอามาต่อกันแล้วปรากฏว่ามันไม่ใช่วัวแต่มันเป็นเขากระบือ